'ธุดงค์ในอดีต แอร์เย็นในปัจจุบัน' ความไม่เรียบง่ายของชีวิตสงฆ์จนลืมคำสอนพระพุทธองค์ผู้ทรงสละทุกอย่าง
การตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ของเจ้าชายสิทธัตถะ ก้าวข้ามความสุขสบายแห่งราชบัลลังก์ สละซึ่งทรัพย์สมบัติศฤงคาร และละทิ้งทุกสิ่งที่โลกเห็นว่ามีค่า เพื่อแสวงหาหนทางดับทุกข์ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งพระพุทธศาสนา ภาพของพระองค์ในชุดสมณะ ครองผ้ากาสาวพัสตร์ บิณฑบาตเลี้ยงชีพ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ได้กลายเป็นต้นแบบอันงดงามแห่งการหลุดพ้นและการละวางซึ่งกิเลสทั้งปวง
ทว่า เมื่อมองมายังภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ส่วนในปัจจุบัน กลับปรากฏความแตกต่างที่ชวนให้ฉุกคิด หลายครั้งที่เราได้เห็นข่าวคราว หรือพบเห็นภาพพระสงฆ์ที่สะสมทรัพย์สินเงินทอง มีรถยนต์หรูหราสิ่งอำนวยความสะดวก พำนักอยู่ในกุฏิที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ และใช้ชีวิตที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากความเรียบง่ายตามแบบฉบับของพระพุทธองค์ คำถามที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การกระทำเช่นนี้ สมควรที่จะเรียกว่าเป็น "ศิษย์ของพระตถาคต" ได้อย่างเต็มภาคภูมิหรือไม่?
แน่นอนว่า บริบททางสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากนับตั้งแต่สมัยพุทธกาล สังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น วัดวาอารามกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชน มีบทบาทในการจัดการศึกษา การสงเคราะห์ และการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาต่างๆ ซึ่งย่อมต้องอาศัยปัจจัยทางด้านการเงินและการจัดการทรัพย์สินในระดับหนึ่ง
การรับบริจาคและการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดจึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อการดำรงอยู่ของศาสนสถานและการดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อย่างไรก็ตาม เส้นแบ่งระหว่างการบริหารจัดการเพื่อส่วนรวมกับการสะสมเพื่อความสุขส่วนตนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียด
พระพุทธองค์ทรงสอนถึงโทษของการติดยึดในทรัพย์สมบัติว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ การแสวงหาและการครอบครองซึ่งสิ่งเหล่านี้ มักนำมาซึ่งความกังวล ความโลภ และการแข่งขัน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปฏิบัติธรรมและการบรรลุธรรม หากพระสงฆ์มุ่งเน้นไปที่การสะสมทรัพย์สินเงินทอง แทนที่จะเป็นการขัดเกลากิเลสและเผยแผ่พระธรรม คำถามคือ เป้าหมายหลักของการบวชนั้นยังคงดำรงอยู่หรือไม่
การมีชีวิตที่สะดวกสบายเกินไป อาจนำไปสู่ความเคยชินและความประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติธรรม การนั่งรถหรูอาจทำให้ลืมรสชาติของการเดินธุดงค์ การอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำอาจทำให้ความอดทนต่อความยากลำบากลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับวิถีชีวิตอันเรียบง่ายที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินเป็นแบบอย่าง
การเป็นศิษย์ของพระตถาคต มิได้อยู่ที่การครองผ้ากาสาวพัสตร์ หรือการอยู่ในวัดเพียงเท่านั้น หากแต่อยู่ที่การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด การเจริญสติภาวนาเพื่อขัดเกลากิเลส การดำรงชีวิตอย่างสมถะ การเมตตาต่อสรรพสัตว์ และการเผยแผ่พระธรรมคำสอนเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น
พระสงฆ์ที่ดำเนินชีวิตตามรอยบาทของพระพุทธองค์ จะให้ความสำคัญกับการละวางมากกว่าการสะสม จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาจิตใจมากกว่าการแสวงหาวัตถุ และจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ญาติโยม การบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และอยู่ภายใต้การตรวจสอบที่โปร่งใส
ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์ที่แตกต่างไปจากอดีต ย่อมก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม การตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง ก็ถือเป็นโอกาสให้คณะสงฆ์ได้หันกลับมาทบทวนและปรับปรุง เพื่อรักษาศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชน
การกลับไปสู่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา การเน้นย้ำถึงความสำคัญของการละวาง การดำเนินชีวิตอย่างสมถะ และการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีงาม อาจเป็นหนทางในการเยียวยาภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเป็นการยืนยันถึงการเป็น "ศิษย์ของพระตถาคต" อย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินว่าใครสมควรหรือไม่สมควรที่จะเรียกว่าเป็นศิษย์ของพระตถาคต อาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อน แต่การหันกลับมาพิจารณาถึงหลักธรรมคำสอนและแบบอย่างการดำเนินชีวิตของพระพุทธองค์ ย่อมเป็นเครื่องเตือนใจและเป็นแนวทางให้พระสงฆ์ในทุกยุคสมัย ได้ตระหนักถึงบทบาทและความรับผิดชอบของตน ในฐานะผู้สืบทอดพระศาสนาและผู้นำทางจิตวิญญาณของสังคม - 001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี