หลังจากทราบผลคะแนนโหวตนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 30 เป็นไปตามคาด เก้าอี้นายกรัฐมนตรีตกไปเป็นของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ถือว่าได้นั่งเก้าอี้ต่ออีก 1 สมัย “ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์” ได้มีโอกาสลงพื้นที่สำรวจความเห็นของประชาชนถึงนโยบายและความคาดหวังที่อยากให้ “ลุงตู่” ของพวกเขาพัฒนาประเทศด้านไหนและอยากให้มีประสิทธิภาพในส่วนไหนมากที่สุด
“น.ส.สิริกร (สงวนนามสกุล)” อายุ 33 ปี ลูกจ้างของรัฐ บอกกับทีมข่าวฯ ว่า ความจริงทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และหลายคนก็คาดหวังว่าจะให้เกิดการเมืองหน้าใหม่ จึงมีความรู้สึกว่าการที่ลุงได้เป็นนายก มันเหมือนไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควร แต่ทุกอย่างก็ต้องเดินหน้าต่อไป
“อยากฝากท่านพัฒนาเกี่ยวกับ... เรื่องปากท้องความเป็นอยู่ เพราะไม่เห็นด้วยกับการยื่นเงินให้ แต่ควรผลักดันและส่งเสริมอาชีพ เพื่อขยายผลฐานการผลิตสินค้าเรื่องการศึกษา ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และทดลองอะไรใหม่ๆ เปิดเวทีให้ได้แสดงความคิดเห็นและรับฟังปัญหาของเด็กๆ เพื่อให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้ในแบบของเขา” น.ส.สิริกร กล่าว
นอกจากนั้น อยากให้เดินหน้า เรื่องการเกษตร ควรส่งเสริมสนับสนุนหาลู่ทางขยับขยายสินค้าเกษตร ควรวางราคากลางสินค้าให้เป็นกลาง คือไม่น้อยเกินไปจนเกษตรกรอยู่ไม่ได้และไม่มากเกินไปจนรัฐบาลต้องแบกรับไว้เอง แต่ควรหาตลาดรองรับ และเรื่องการของปกครอง ต้องใช้อำนาจในทางที่ถูกที่ควร เคารพและรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ต้องเลิกเสียงดังโวยวายขึ้นเสียงเวลาให้สัมภาษณ์ เพราะบางทีดูข่าวไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเสียงดังและเรื่องค่าคลองชีพสวัสดิการ ต้องดูแลให้เพียงพอกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นทุกวัน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศรายได้น้อยและสวัสดิการประเทศไทยก็อ่อนมาก ควรให้มันเท่าเทียมกัน และเรื่องของกฎหมาย ต้องมีความเด็ดขาดและไม่เข้าข้างหรือเอื้อประโยชน์แก่คนรวย เหมือน “คดีเสือดำ” ที่ผ่านมา คุณสิริกร ระบุ
ด้าน คุณหนุ่มหลังคาแดง (นามปากกา) อายุ 42 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป ได้ฝากข้อความกับทีมข่าวฯ ถึงนายกฯ ว่า “กฎของสังคม” ผมยอมรับได้ต่อให้มันดูแปลกๆ ผมก็ต้องยอมรับ และอยากพูดความในใจมานานมากแล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมแทบไม่พูดอะไรเลยผ่านช่องทางนี้ เพราะผมกลัวเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ และผู้ใหญ่ที่ผมเคารพจะเกลียดผม บอกตรงๆว่าผมกลัวมิตรภาพหายไป เลยเลือกที่จะไม่พูดเยอะ แต่วันนี้แค่เป็นเพียงคำร้องบอกผ่านฝากอากาศและสายลมในฐานะที่ผมเองก็เป็นประชาชนตาดำๆ คนนึงที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ครับ
“จะออกกฎหมายอะไรอยากให้พิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะทำมันขึ้นมา ดูองค์ประกอบร่วมเป็นที่ตั้ง ฟังเสียงเพื่อนร่วมงานเท่าที่จำเป็นโดยมองประชาชนเป็นตัวตั้งและต้นเหตุแห่งปัญหาเป็นตัวหลัก อะไรที่ดีอยู่แล้วอย่าไปปรับ,ไปเปลี่ยน,ไปทำลาย ที่ผ่านมาเรียนรู้ข้อผิดพลาดอะไรบ้างอย่าทำแบบนั้นอีก เข้าใจหน้าที่และตระหนักถึงตนเองว่าการเป็นนายกต้องยื่นหูฟังคนร้องทุกข์คือเรื่องธรรมชาติ รับฟังเขาและหาทางออกให้เขาเท่าที่ความสามารถจะไปถึง คนถ้าไม่ลำบากเขาจะไม่แหกปากโวยวาย ซึ่งการแต่งตั้งรัฐมนตรี ถือว่าสำคัญมาก เอาคนดีและคนที่มีความสามารถขึ้นมา เล่นพรรคเล่นพวกเท่าที่จำเป็น บ้านเมืองเป็นเดิมพันทำอะไรคิดเยอะๆ อย่าเอาคนไม่เป็นงาน,อย่าเอาคนประจบสอพลอ,อย่าเอาคนเห็นแก่ตัว,อย่าเอาคนขี้เกียจ,อย่าเอาคนไร้ความสามารถและบ้าอำนาจขึ้นมาเป็นเจ้ากระทรวงต่างๆ การวางแผนการบริหารแผ่นดินจะยิ่งแย่ลงถ้าท่านเลือกคนแย่ๆมาเป็นรัฐมนตรี”
คุณหนุ่ม ยังบอกอีกว่า ความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานของคนในชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแจกเงินแล้วมันจะดีขึ้น แต่อยู่ที่ข้าราชการท้องถิ่นเอาใจใส่ผู้คนในละแวกนั้นๆดีแค่ไหน เขาคดโกงเงินจากโครงการต่างๆ ในการช่วยเหลือคนแบบไหน ท่านต้องศึกษาและมีบทลงโทษขั้นเด็ดขาด หรือจะสุ่มตรวจแต่ละแห่งเป็นรายวันก็ดี บางอย่างมีแล้วไม่ดีท่านต้องยุบเลยและจัดตั้งใหม่ พร้อมบทลงโทษที่ทำให้ข้าราชการท้องถิ่นกลัวจนตัวสั่น
“ท่านเคยดูข่าวไหม?
ทำไมมีเด็กๆ ลำบากไม่มีจะกินไม่มีจะเรียน ไม่มีแม้ที่ซุกหัวนอนหรือคนป่วยนอนรอความตายอยู่ในบ้านพังๆ หรือคนพิการแบกจอบแบกเสียมออกไปเป็นกุลีหาเลี้ยงลูกหรือคนป่วยโดยไม่มีใครเหลียวแล ทั้งๆที่มีงบตามโครงการแต่ทำไมไม่ถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ท่านก็พิจารณาเอาเถิด
อยากให้คนรักท่าน ท่านก็ต้องเริ่มรักคนแบบจริงๆจังๆ ท่านต้องเข้าถึงความชั่วแบบจริงๆจังๆ และแก้ไขมันแบบจริงจังท่านอาจจะไม่ใช่คนเก่ง100% แต่อย่าให้แย่เกิน 50% ถ้าท่านรักในหลวง ท่านจะเข้าใจคติธรรมและความรักที่พระองค์มีต่อประชาชน ทำให้ได้ครึ่งหนึ่งของพ่อ และบ้านเมืองมันจะดีขึ้นตามลำดับ” คุณหนุ่ม กล่าวทิ้งท้าย
อีกเสียงหนึ่ง... “นายทินภัทร อนะธรรมสมบัติ” อายุ 28 อาชีพ Freelance บอกกับเราว่าหลังจากที่รู้ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่ก็ต้องยอมรับ เพราะการบริหารประเทศของท่านที่ผ่านมา ไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่แค่ Freelance ที่มีงานน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งบ่งบอกได้ถึง “สภาวะเศรษฐกิจ” ในประเทศ
“เพราะก่อนการรัฐประหารงานค่อนข้างดี ถึงดีมาก แต่หลังจากผ่านมา 5 ปี งานลดลงอย่างเห็นได้ชัด เริ่มมีการตัดราคากันในสายงาน Freelance ด้วยกันเยอะขึ้น ค่าครองชีพ พุ่งทะยาน อย่างไม่เคยมีมาก่อน ขณะที่เรื่องของการพัฒนาประเทศนั้น โดยส่วนตัวมองว่า คงไปยาก เกิดการทรยศความเชื่อมันของประชาชนอย่าว่าแต่ 4 ปีเลย เอา 4 เดือนให้ลอดประเทศไม่ต้องไปกู้ IMF ก่อนดีกว่า และเรื่องนโยบาย ขายฝัน เงินคงคลังเราไม่เหลือแล้วจะไปทำอะไรได้ กู้เงินเพิ่ม สร้างหนี้สาธารณะให้ประชาชนเพิ่มอีก อยากให้กลับมาสนับสนุนการส่งออก พืชการเกษตร พวกข้าว และยางพารา ให้กลับมาราคา ดีเหมือนเก่า เพราะ ถ้าตอนนี้เป็นรัฐบาลแล้ว ต่างชาติ น่าจะยกเลิกการคว่ำบาท เราแล้ว น่าจะส่งออกได้ราคา ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ พวกบัตรคนจน เอาเงินส่วนนี้ไปพัฒนาเรื่องอื่นๆ ดีกว่า” นายทินภัทร กล่าวกับทีมข่าวฯ
ขณะที่ คุณเป้ (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ที่เน้นย้ำกับทีมข่าวฯ ถึงสิ่งที่อยากให้ “บิ๊กตู่” พัฒนา คือ เรื่องบุคลิกภาพส่วนตัวหรืออุปนิสัย อยากให้วางตัวให้มีความเป็นผู้นำมากกว่านี้ เพราะการเป็นผู้บังคับบัญชาทางทหารมาใช้กับการพัฒนาประเทศไทยไม่ได้ เรื่องความโปร่งใสในการทำงาน เพราะการตัดสินใจโครงการหรืออะไรก็ตามขึ้นอยู่ในการดูแลของท่าน ฉะนั้นท่านต้องเรียกความมั่นใจจากประชาชนให้กับมา ให้เหมือนตอนที่ท่านยึดอำนาจมาครั้งแรกที่มีแต่คนชื่นชม เพราะประเทศไทยสงบ แต่การบริหารประเทศยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และอยากให้พัฒนาในเรื่องของขนบธรรมเนียมการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง
จากการสอบถามความคิดเห็นส่วนใหญ่เห็นว่าอยากให้ผู้นำประเทศแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นอันดับแรก เพราะค่าครองชีพสวนทางกับรายได้ที่รับจึงอยากขอให้ท่านช่วยเรื่องนี้ก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี