“วันนี้สิ่งที่ต้องทำ ท่านต้องใช้ยาแรง ขอย้ำนะครับ ท่านนายกฯ ต้องใช้ยาแรง ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ และยาแรงที่ท่านต้องใช้คืออะไรครับ วันนี้ท่านต้องพยายามอัดฉีดเงินเข้าไปให้ถึงมือประชาชน ไม่ต้องไปผ่านระบบที่ต้องมาสกรีนกัน เป็นคนไทยหรือเปล่า แจกให้ทั่วถึงเลย อย่าไปแจกสามพัน แจกสักสามหมื่นเลยท่านนายกฯ แน่จริงท่านต้องหาเงินมา ต้องกู้มา ผมจะบอกให้นะ นายกฯ จะตอบผมว่าเอาเงินมาจากไหน ผมเตรียมชาร์ตไว้แล้วนะ แน่จริงเดี๋ยวตอบมานะ ผมจะสวนกลับเลย สอนมวยว่าหาเงินมาจากไหน
ขอโทษเถอะครับ คนไทยทั้งแผ่นดิน ที่ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น หลายๆ ประเทศเขาทำคิวอี ท่านนายกฯ รู้จักคำว่าคิวอีไหม แปลตรงๆ ภาษาชาวบ้านคือพิมพ์แบงก์ พิมพ์เลย มันเป็นประเทศไทยไปกลัวอะไรวะ พิมพ์เลยสิ ถ้าผมเป็นนายกฯ ผมจะพิมพ์แบงก์เลย ผมจะทำให้คนไทยมีความสุข เงินเฟ้อนิดหน่อยไม่เป็นไรเพราะประเทศเรากำลังเติบโต นี่คือสิ่งที่ท่านต้องทำ แต่อย่าพิมพ์แบงก์ไปซื้อเรือดำน้ำ หรือไปทำสิ่งที่ไม่เหมาะควร ผมรับไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ผมจะบอกท่านนายกฯ”
คำกล่าวของ ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดอุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย ผู้มาพร้อมกับน้ำเสียงและลีลาการอภิปรายอย่างดุเดือดบวกกับ “หนวด” อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ในเรื่องวิกฤติทางเศรษฐกิจและวิกฤติทางการเมืองโดยไม่มีการลงมติ เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2563 ได้เสนอแนะถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ทำ “คิวอี (QE)” หรือภาษาชาวบ้านคือการพิมพ์ธนบัตรเพื่ออัดฉีดเงินเข้าในระบบ
QE หรือชื่อเต็มๆ คือ Quantitative Easing เป็นนโยบายที่ธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบ ตั้งแต่การเข้าซื้อตราสารทางการเงินต่างๆ เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจ ทำให้การผลิตและการจ้างงานยังดำเนินต่อไปได้ ไปจนถึงการแจกเงินโดยตรงถึงมือประชาชน (Helicopter Money) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ซึ่งจะใช้ควบคู่กันกับมาตรการลดดอกเบี้ยให้ต่ำลง
แต่ต้องไม่ลืมว่า “QE เป็นมาตรการประเภทดาบสองคม” ถ้าไม่ระวังอาจก่อหายนะรุนแรงได้ ดังกรณีที่พูดถึงกันบ่อยๆ คือที่ประเทศ ซิมบับเว ในทวีปแอฟริกา ที่ทำเอา โรเบิร์ต มูกาเบ (Robert Mugabe) เปลี่ยนสถานะจากรัฐบุรุษผู้สร้างชาติกลายเป็นผู้ทำเศรษฐกิจของชาติที่ตนเองสร้างมากับมือล่มสลาย มูกาเบเป็นผู้นำการเรียกร้องเอกราชดินแดนโรดีเซีย (Rhodesia) จากอังกฤษเจ้าอาณานิคม เมื่อได้รับเอกราชก็เปลี่ยนชื่อดินแดนใหม่เป็นซิมบับเว และมูกาเบก็ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีประเทศเกิดใหม่นี้อย่างถล่มทลายและครองอำนาจยาวนานหลายสิบปี
ในช่วงแรกๆ ซิมบับเวได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประชากรคนผิวดำรู้หนังสือมากที่สุดในทวีปแอฟริกา ซึ่งคาดว่ามาจากการที่ มูกาเบ เคยมีอาชีพเป็นครูมาก่อนจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการศึกษา มีการทุ่มงบประมาณก่อสร้างโรงเรียนไปทั่วทั้งประเทศ แต่อนิจจา! ช่วงทศวรรษ 1990s (ปี 2533-2542) ไม่รู้มีอะไรดลใจท่านประธานาธิบดีผู้นี้ ทำให้จู่ๆ ก็ออกนโยบายยึดที่ดินจากชาวซิมบับเวผิวขาว หรือก็คือชาวตะวันตกที่ตั้งรกรากมาตั้งแต่สมัยอาณานิคม แล้วนำมาแจกจ่ายให้ชาวซิมบับเวผิวดำที่เป็นชนพื้นเมืองแท้ๆ โดยหวังว่าจะช่วยเร่งให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ด้วยความที่ชาวซิมบับเวผิวดำยังไม่ถูกเตรียมความพร้อมทั้งทักษะวิชาชีพด้านการเกษตรและความรู้ด้านการบริหารพื้นที่เกษตร นโยบายยึดที่ดินข้างต้นทำให้จากเศรษฐกิจซิมบับเวที่กำลังเติบโตพุ่งทะยานก็ดิ่งร่วงลงเหวอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นเป็นหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แล้วไม่สามารถจ่ายได้ ทำให้ในปี 2549 ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งประเทศซิมบับเว ก็เสนอขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้นก็พิมพ์เงินแจกมันดื้อๆ นี่ละ ง่ายนิดเดียว” แล้ว ปธน.มูกาเบ ก็เอาด้วยตามนั้น
“การพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งเพื่อใช้หนี้ IMF และกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้สกุลเงินของซิมบับเวเฟ้อแบบก้าวกระโดด” ธนบัตรกลายเป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่า บรรดาผู้ประกอบการต่างพากันขึ้นราคาสินค้า ซึ่งเมื่อรัฐบาลพยายามควบคุม ผู้ประกอบการจึงตัดสินใจไม่ผลิตและไม่ขายสินค้า ความอดอยากยากจนยิ่งขยายไปทั่วทั้งแผ่นดิน เมื่อบวกกับท่าทีของ ปธน.มูกาเบ ที่ระยะหลังๆ เปลี่ยนไปเป็นเผด็จการมากขึ้น ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการถูกรัฐประหารในปี 2560 โดยที่ประชาชนก็ไม่คัดค้าน และไปเสียชีวิตอย่างเงียบๆ ในปี 2562 ที่ประเทศสิงคโปร์
นอกจากซิมบับเวแล้ว เวเนซุเอลา เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ควรจะเป็นชาติที่มั่งคั่งเพราะอุดมไปด้วยทรัพยากรล้ำค่าอย่างน้ำมันดิบ แต่เพราะการใช้นโยบายประชานิยมแบบสุดโต่งของรัฐบาลโดยไม่สนใจวินัยการเงินการคลัง หากเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงคงไม่เป็นอะไร กระทั่งเมื่อราคาน้ำมันลดลงและรัฐบาลไม่อาจลดการใช้นโยบายประชานิยมลงมาได้เพราะกลัวเสียคะแนนทางการเมือง ทำให้ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์ธนบัตรอัดฉีดเข้าสู่ระบบ จนเกิดปัญหาเงินเฟ้อแบบสุดขั้วพร้อมกับปัญหาความยากจนถึงขั้นเกิดคลื่นมนุษย์อพยพออกนอกประเทศ
อนึ่ง มักมีคำถามตามมาเสมอ ทำไมสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่เหมือนจะทำ QE ได้ไม่จำกัด? ถึงขั้นมีคำพูดติดตลกว่า “อเมริกามีสูตรโกงพิมพ์เงินเท่าไรก็ได้” นั่นเพราะเงินดอลลาร์หรือเหรียญสหรัฐกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลกใบนี้ในการซื้อขายสินค้าและบริการต่างๆ แม้กระทั่งถูกใช้เป็นเงินทุนสำรองของหลายๆ ประเทศ เมื่อความต้องการเงินดอลลาร์มีมากขนาดนี้ จึงเป็นข้อได้เปรียบที่สหรัฐฯ จะพิมพ์เงินออกมาได้โดยไม่ต้องผูกสกุลเงินกับทองคำเฉกเช่นประเทศอื่นๆ และเงินดอลลาร์สหรัฐคงไม่เสื่อมค่าง่ายๆ ตราบใดที่ชาวโลกไม่พร้อมใจกันเลิกใช้
เข้าใจว่า “ท่าน ส.ส.หนวดงาม” หวังดีต่อประเทศชาติ อยากให้รัฐบาลระดมอัดฉีดเงินเข้าในระบบ ให้ประชาชนรู้สึกมีความหวังในชีวิตจากการมีเงินอยู่ในมือไว้จับจ่ายใช้สอย แต่การทำมาตรการบางอย่างโดยไม่ดูฐานะของประเทศ อาจเข้าตำรานิทาน “อึ่งอ่างพองลม” ที่แม่อึ่งอ่างพยายามพองลมให้ตนเองดูตัวใหญ่ขึ้นตามคำพูดของลูกอึ่งอ่างที่เปรียบเทียบอึ่งอ่างกับวัว สุดท้ายแม่อึ่งอ่างก็พองลมจนท้องแตกตายต่อหน้าลูก..ไม่คุ้มกันเลย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี