เนื่องในโอกาสครบรอบ 22 ปีวิกฤติปี 2540 “ต้มยำกุ้ง”..ผมได้ประเมินบทเรียนและวิเคราะห์วิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2540 เทียบกับปัจจุบัน ปี 2562 แล้วว่า “วิกฤติเศรษฐกิจแบบปี 2540 จะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่มีความเสี่ยงมากขึ้นที่เศรษฐกิจไทยจะประสบปัญหาฐานะการคลังและการเติบโตในระดับต่ำกว่าศักยภาพยาวนาน อีกทั้งภาวะล้มละลายอาจเกิดขึ้นได้จากการดำเนินนโยบายแบบประชานิยมเกินขนาด” ซึ่งต่างจากปี 2540 ที่เป็นเรื่องของการลงทุนและการก่อหนี้เกินตัวของภาคเอกชน
นอกจากนี้ “กิจการต่างๆ และธุรกิจอุตสาหกรรมเผชิญกับภาวะที่ไม่สามารถปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบอย่างฉับพลันได้ ทำให้เกิดการปิดกิจการตามด้วยปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น” ขณะนี้ประเทศไทยมีการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับ 41-42 พันล้านดอลลาร์ มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 2.15 แสนล้านดอลลาร์ มีหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นไม่มาก ต่างจากช่วงก่อนปี 2540 ที่เรามีปัญหาการขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและมีหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นจำนวนมาก
ตอนปี 2540 อัตราเงินเฟ้อก็สูงมีปัญหาฟองสบู่ ตอนนี้อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังค่อนข้างต่ำแต่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปี 2562 สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของภาคธุรกิจแม้เพิ่มขึ้นแต่ยังคงเป็นการกู้เงินในประเทศ แต่เครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ก่อหนี้จำนวนมากเพื่อการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องมีการประเมินความเสี่ยงต่อระบบการเงินโดยรวมด้วย
เมื่อเราเปลี่ยนมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวที่มีการจัดการ การกู้จากต่างประเทศและหนี้สินจะมีการทำประกันความเสี่ยง ในขณะที่ปี 2561-2562 สัญญาณการลงทุนเกินตัวของภาคเอกชนมีในบางภาคเศรษฐกิจและบางพื้นที่เท่านั้นและการลงทุนเอกชนไม่ได้ร้อนแรงมากเหมือนก่อนปี 2540 แต่การลงทุนภาครัฐเริ่มส่งสัญญาณลงทุนเกินตัวสะท้อนจากงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องและก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมาก ไม่เป็นปัญหาหากโครงการลงทุนต่างๆ สามารถสร้างการเติบโตในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม “ปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง วิกฤติรัฐธรรมนูญและระบบนิติรัฐ ความเหลื่อมล้ำ ความยากลำบากของเศรษฐกิจฐานราก และปัญหาฐานะทางการคลังจะทำให้วิกฤติเศรษฐกิจในอนาคตมีความแตกต่างและซับซ้อนกว่าวิกฤติปี 2540” ความเสี่ยงทางการเมืองนั้นหากเป็นเพียงภาวะไร้เสถียรภาพและรัฐบาลอายุสั้นรวมทั้งยังแก้ไขปัญหาผ่านกลไกรัฐสภาภายใต้ระบอบประชาธิปไตย โดยปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังพอประคับประคองไปได้
แต่หากปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองเป็นผลจากการกระทำนอกกฎหมายหรือรัฐประหาร เศรษฐกิจไทยอาจจะรับมือไม่ไหวและนำไปสู่วิกฤติแน่นอนโดยเฉพาะจะกระทบต่อภาคการลงทุนอย่างรุนแรง ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ปี 2533-2538 มีอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยที่ร้อยละ 8.6 ขณะที่อัตราการขยายตัวในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล คสช. ต่ำกว่าร้อยละ 3
ประเทศไทยจึงมีปัญหาการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามากกว่าปัญหาเศรษฐกิจขยายอย่างร้อนแรง ช่วงก่อนวิกฤตการณ์ปี 2540 นั้นสัดส่วนของการลงทุนภายในประเทศต่อรายได้ประชาชาติพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 41.4% จึงต้องอาศัยเงินกู้จากต่างประเทศเพื่อตอบสนองการเติบโตของการลงทุน ส่วนปัจจุบันสัดส่วนของการลงทุนต่อจีดีพีอยู่ที่ต่ำกว่า 25% สภาพคล่องภายในมีมากเพียงพอ ไม่มีความจำเป็นต้องกู้จากต่างประเทศ
เนื่องในโอกาสครบ 22 ปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ผมมีข้อสังเกตและบทเรียนดังนี้ 1.ช่วงวิกฤติปี 2540 ไทยมีช่องว่างระหว่างระดับการออมและระดับการลงทุนสูงและการลงทุนเกินตัว ทำให้ต้องอาศัยเงินออม (กู้เงิน) จากต่างประเทศ เอกชนลงทุนเกินตัวเพราะสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจโลกที่เอื้ออำนวยการลงทุนในประเทศและการส่งออกของไทย ทำให้ภาคเอกชนไทยเร่งการลงทุนทั้งภาคอุตสาหกรรม
ส่งผลให้ราคาที่ดินและราคาหุ้นในประเทศสูงขึ้น ดึงดูดให้ภาคการเงินแข่งขันกันปล่อยกู้ในกิจกรรมดังกล่าว การเปิดเสรีภาคการเงินทำให้สถาบันการเงิน กู้เงินจากต่างประเทศ ที่มีต้นทุนต่ำมาปล่อยกู้ในประเทศ ทำให้เกิดการลงทุนมากเกินไป ในขณะที่ภาคการเงินที่มีโครงสร้างแบบผูกขาดมาเป็นเวลานาน ขาดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน และระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ
“ในขณะที่ปี 2562 สัญญาณการลงทุนเกินตัวของภาคเอกชนมีในบางภาคเศรษฐกิจและบางพื้นที่เท่านั้นและมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล การลงทุนเอกชนไม่ได้ร้อนแรงมากเหมือนก่อนปี 2540 แต่การลงทุนภาครัฐมีเริ่มส่งสัญญาณลงทุนเกินตัว สะท้อนจากงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องและก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมาก” ไม่เป็นปัญหาหากโครงการลงทุนต่างๆ สามารถสร้างการเติบโตในระยะต่อไป ช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 การเมืองไม่มีเสถียรภาพ และการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ก็จะมีปัญหารัฐบาลผสมที่อ่อนแอ
2.การพึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศในอัตราสูงไม่ใช่ปัญหา หากมีการบริหารจัดการที่ดีไม่ให้มีสัดส่วนของเงินกู้ต่างประเทศระยะสั้นมากเกินไป เงินทุนที่ไหลเข้าก่อนช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 สองสามปีมีสัดส่วนของการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) น้อย การลงทุนเข้ามาถือหุ้นร่วมกิจการก็น้อยเมื่อเทียบกับเงินไหลเข้าในรูปของเงินกู้และที่สำคัญเงินกู้เหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่งเป็นเงินกู้ระยะสั้นทางด้านสถาบันการเงินก็ต้องมีระบบการปล่อยสินเชื่อที่มีมาตรฐานและโปร่งใส
สถานการณ์ขณะนี้ เราเปิดกว้างในการดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะ EEC จำเป็นต้องรักษาสมดุลให้ดีระหว่างทุนชาติและทุนข้ามชาติจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ตัวเลข FDI ขณะนี้ก็ยังน้อยกว่าในช่วงปี 2544-2548 3.ช่วงก่อนปี 2540 มีการเปิดเสรีการเงินผ่านการเปิดเสรีวิเทศธนกิจ มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในระบบสถาบันการเงินไทยจำนวนมาก ทำให้สถาบันการเงินในประเทศมีการขยายสินเชื่อในอัตราเร่ง คุณภาพสินเชื่อเริ่มลดลง อัตราส่วนระหว่างการปล่อยสินเชื่อต่อปริมาณเงินฝากสูงขึ้นมาก
โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เมื่อสิ้นไตรมาสสองของปี 2538 นอกจากนี้เริ่มมีสัญญาณของหนี้เสียหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนขณะนี้ สถานะทางการเงินของระบบสถาบันการเงินยังแข็งแกร่ง แม้หนี้เสียเพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่จำเป็นต้องปรับโครงสร้างครั้งใหญ่อันเป็นผลกระทบจากนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน การแข่งขันในภาคการเงินรุนแรงขึ้นจากการแข่งให้บริการโดยกลุ่ม non-bank ผลของเงินดิจิตอลจะส่งผลอย่างไรต่อระบบการเงิน ต้องมีการศึกษาและรับมืออย่างจริงจัง
4.ในช่วงก่อนปี 2540 การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย) ขณะที่ยังคงใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่พร้อมกับยังมีการเติบโตร้อนแรงอยู่ในภาคการลงทุนส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศยิ่งสร้างแรงผลักดันให้กู้ยืมเงินจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้นและดึงดูดเงินทุนไหลเข้ามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงก่อนเกิดวิกฤติปี 2540 ผู้ให้กู้ให้สินเชื่อแบบผ่อนคลายมากขึ้น
โครงการต่างๆ ขยายโดยใช้สัดส่วนของสินเชื่อค่อนข้างสูงและหลายโครงการกู้เงินตราต่างประเทศเพื่อประหยัดดอกเบี้ย โดยมีสมมติฐานว่าไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพราะมั่นใจว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ระบบตะกร้าเงิน ขณะนี้นโยบายการเงินและระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบที่ยืดหยุ่นลอยตัวตามกลไกตลาดมากขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงในเชิงระบบลงได้
สถาบันคุ้มครองเงินฝากก็มาทำหน้าที่แทน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม “ขณะนี้เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นเก็งกำไร ทางการจึงควรออกมาตรการสกัดกั้นเงินทุนเก็งกำไรเหล่านี้ หากไม่เข้าไปบริหารจัดการการแข็งค่าเงินบาทอย่างรวดเร็วจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา” ทั้งต่อสินค้าส่งออกและภาคการท่องเที่ยวของไทย
5.ช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 สภาพคล่องที่ผ่อนคลายและปริมาณเงินขยายตัวในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมาผสานเข้ากับความร้อนแรงของการลงทุนและการเก็งกำไรทำให้ราคาที่ดินและหลักทรัพย์พุ่งสูงขึ้นกว่าปัจจัยพื้นฐานมากจนเกิดปัญหาฟองสบู่ในภาคเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นและภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่วนในปัจจุบัน ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นมากในบางพื้นที่เท่านั้น เช่น เขตเศรษฐกิจ EEC หัวเมืองใหญ่ ยังไม่มีสัญญาณชัดนักในภาวะฟองสบู่ในระดับประเทศ
อย่างไรก็ตาม “ประเทศควรมีระบบข้อมูล Big Data ครอบคลุมผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้ซื้อหรืออุปสงค์ สินเชื่อสถาบันการเงิน เป็นต้น เพราะสาเหตุปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกช่วงปี 2540 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดข้อมูล ทำให้เกิดปัญหา oversupply การเก็งกำไร และสินเชื่อด้อยคุณภาพ” ปัญหาฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ได้ก่อให้เกิดหนี้เสียจำนวนมากในระบบสถาบันการเงิน
นอกจากนี้ ช่วงที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการ LTV เพื่อสกัดความร้อนแรง การเก็งกำไรและฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์แล้ว โดยมาตรการ LTV ได้ก่อให้เกิดการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์มากกว่าที่คาด 6.ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ก่อนปี 2540 ทางการไทย (รัฐบาลไทย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงาน ทางเศรษฐกิจต่างๆของภาครัฐ) ไม่สามารถใช้มาตรการหรือนโยบายต่างๆ หยุดยั้งภาวะฟองสบู่และการขยายตัวอย่างร้อนแรงของอุปสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น นโยบายการคลังที่เข้มงวดและเกินดุลมากพอที่จะลบล้างความร้อนแรงของเงินทุนไหลเข้าไม่ได้เกิดขึ้น นโยบายการเงินเข้มงวดโดยปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยสูงไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก นโยบายเพิ่มทุนสำรองและกีดกันการนำเข้าของเงินกู้ระยะสั้นมีการดำเนินแต่ไม่เพียงพอ ไม่มีการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่นมากพอ
7.มีการโจมตีและการเก็งกำไรค่าเงินโดยกองทุนเก็งกำไรและนักลงทุนในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 โดยมีพฤติกรรมการโจมตีค่าเงินในประเทศอ่อนแอ ทางเศรษฐกิจ ค่าเงินของหลายประเทศรวมทั้งเงินบาทของไทยแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานในหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น การโจมตีค่าเงินในสหภาพยุโรป ปี 2535 และเม็กซิโก 2537 “ประเทศที่มีระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยยืดหยุ่นจะมีแนวโน้มที่ถูกโจมตีมากกว่าประเทศอื่นๆ (IMF Research Department Staff (1997))”
นอกจากนี้วิกฤตการณ์ทางการเงินในเม็กซิโก ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลใจกับเศรษฐกิจประเทศเกิดใหม่ที่มีปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัด และมีแนวโน้มว่าจะมีการลดค่าเงิน นักลงทุน นักเก็งกำไรเริ่มเห็นโอกาสในการสร้างผลกำไรจากการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากการที่ประเทศไทยมีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเรื้อรัง อัตราเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจร้อนแรงมีภาวะฟองสบู่ ค่าเงินถูกกำหนดให้แข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐบาลพยายามลดความรุนแรงของปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดและภาวะฟองสบู่ กิจกรรมเก็งกำไรแต่ไม่เป็นผลนัก เงินกู้ต่างประเทศระยะสั้นของภาคเอกชนยังคงเพิ่มขึ้น
ปัญหาหนี้เสียสถาบันการเงินอันเนื่องมาจากอสังหาริมทรัพย์และกิจกรรมเก็งกำไร ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เมื่อภาพรวมของเศรษฐกิจและความสามารถในการชำระหนี้ของประเทศลดลงอย่างมาก อันดับความน่าเชื่อถือของไทยถูกปรับลดลงโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เงินทุนต่างประเทศเริ่มทยอยไหลออกเป็นจำนวนมากจนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาท
ช่วงเดือนธันวาคม 2539 ใช้เงินตราต่างประเทศในการแทรกแซงตลาดเป็นจำนวน 4.88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาเมื่อมีข่าวลือการลดค่าเงินในช่วงเดือนมกราคม 2540 นักลงทุน ได้เข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินบาท ธปท. แทรกแซงตลาดเป็นจำนวน 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นปี 2539 และมีฐานะเงินสำรองทางการหักยอดคงค้างสัญญาขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า หรือทุนสำรองทางการสุทธิ เมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นจำนวน 26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
“การโจมตีครั้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2540 การปกป้องค่าเงินบาททำให้ทุนสำรองสุทธิลดลงจากระดับ 24.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงเดือนมิถุนายน 2540 เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลาออก ส่งผลให้เงินทุนของนักลงทุนไทยไหลออกนอกประเทศ ส่งผลให้ทุนสำรองสุทธิลดลง จนกระทั่งในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ภายใต้แรงกดดันของตลาดการเงินระหว่างประเทศและปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจการเงิน
รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท หรือเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนระบบคงที่แบบตะกร้าเงิน (Pegged Exchange Rate System) เป็น ระบบลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Floated Exchange Rate System) โดยในวันดังกล่าวทุนสำรองสุทธิของไทยเหลืออยู่ในระดับ 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ”
สถานการณ์การโจมตีและเก็งกำไรค่าเงินจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศจากตลาดการเงินไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลมาจากเงินทุนไหลกลับจากการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา และ QE exit ของธนาคารกลางยุโรป 8.ก่อนวิกฤติปี 2540 ไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เมื่อใช้ในสภาวะที่ปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่สามารถใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดจำกัดอุปสงค์รวมได้อย่างมีประสิทธิผล
เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยภายในประเทศสูง ผู้ลงทุนจะหันไปกู้เงินจากต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าและในช่วงเวลาดังกล่าวอัตราดอกเบี้ยของประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่นก็ต่ำกว่าไทยมาก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดหนี้ต่อประเทศระยะสั้นจำนวนมาก ส่วนสถานการณ์ในปัจจุบัน มองว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาจะปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง และ อียูอาจทำนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ทางการไทยจึงควรปรับนโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้นหากทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกกลับมาเป็นขาลง
9.เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงปลายทศวรรษที่ 2530 ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ ประเทศจะสามารถขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องได้จะต้องมีการเกินดุลบัญชีเงินทุน ในกรณีของประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเงินทุนในส่วนของเงินกู้จากต่างประเทศ และเป็นหนี้ระยะสั้น ซึ่งการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้เชื่อว่าประเทศสามารถจ่ายหนี้ได้ในอนาคต และสามารถรักษาระดับเงินทุนไหลเข้า
10.การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยหลักใหญ่แล้วเกิดขึ้นจากการใช้ปัจจัยการผลิตมากขึ้น มิใช่จากการยกระดับผลิตภาพและเทคนิคการผลิต การเพิ่มคุณภาพของปัจจัยการผลิตเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว ดังจะเห็นได้ว่าในบรรดาประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอิสราเอล การเพิ่มผลิตภาพรวมของปัจจัยการผลิต ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของคุณภาพของปัจจัยการผลิต และการปรับปรุงเทคโนโลยีให้ดีขึ้นนั้น เป็นที่มาของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่ง
ทั้งนี้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยควรร่วมกันเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินที่ยังค้างอยู่จำนวนมาก รวมทั้ง รักษาวินัยทางการเงินการคลังเพื่อไม่ให้วิกฤติแบบปี 2540 กลับมาซ้ำรอยในอนาคต!!!
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป
สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี