“สตรีทฟู้ด (Street Food)” หรืออาหารริมทาง แม้ในสังคมไทยจะมีวิวาทะระหว่างฝ่ายที่เห็นว่าเป็นสิ่งเลวร้ายเพราะกีดขวางทางเท้าแถมเอาเปรียบสังคมเพราะไม่จ่ายภาษีเงินได้และไม่ลงทุนซื้อหรือเช่าสถานที่ กับฝ่ายที่เห็นว่าเป็นที่พึ่งของชาวเมืองโดยเฉพาะคนระดับฐานรากทั้งผู้ซื้อที่ได้อาหารราคาประหยัดและสะดวก รวมถึงผู้ขายก็มีอาชีพทำกินโดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุมากและการศึกษาไม่สูง แต่ในสายตาต่างชาติ สตรีทฟู้ดเมืองไทยคือเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก เห็นได้จากการนำเสนอข่าวชี้ชวนให้มาลิ้มลองโดยสื่อมวลชนของหลายประเทศ
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดแถลงข่าว “รักสุขภาพด้วยไลฟ์สไตล์กับ 3 Street Food Models” ณ มหาวิทยาลัยมหิดล (วิทยาเขตราชวิถี) โดยผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงโครงการ “การพัฒนารูปแบบการจัดการอาหารริมบาทวิถีเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ” สำรวจสตรีทฟู้ดทั้งแบบแผงลอยบนทางเท้า แบบขายในตลาด และแบบรถเคลื่อนที่หรือ “ฟู้ดทรัค (Food Truck)” ในกรุงเทพมหานคร (กทม.) 6 เขต รวมถึงใน จ.ภูเก็ต อุบลราชธานี เชียงราย และที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
พบว่า “เสียงสะท้อนจากชุมชนบางแห่งที่ไปสำรวจ เช่น ซอยอารีย์ (พหลโยธิน ซอย 7) ร้านค้าตึกแถวบริเวณนั้นสนับสนุนให้มีอาหารแผงลอย เพราะทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีผู้คนเดินพลุกพล่าน” โดยหากเทียบระหว่าง 2 ฝั่งจากทางขึ้น-ลงรถไฟฟ้า ฝั่งตรงข้ามซอยที่หันหน้าเข้าซอยซึ่งไม่มีแผงลอยตั้งจะไม่ค่อยมีคนเดิน อย่างไรก็ตาม “หลายพื้นที่ยังน่าเป็นห่วงด้านสุขอนามัยอาหาร” อาทิ พบเชื้อจุลินทรีย์ รวมถึงปริมาณ “โซเดียม” ที่สูง ซึ่งตามหลักแล้วมนุษย์ไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
แต่จากการเก็บตัวอย่างจำนวน 50 ตัวอย่าง พบว่ามีในอาหาร 100 กรัม มีโซเดียมประมาณ 500 มิลลิกรัม หรือหากรับประทานอาหาร 1 ชาม น้ำหนัก 400-450 กรัม ถือว่าหมดโควตาแล้วสำหรับการบริโภคโซเดียมในวันนั้น “โรคที่คนไทยเป็นกันมากคือกลุ่มเอ็นซีดี (NCDs) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน” ซึ่งในส่วนการตรวจสอบอาหาร แต่ละพื้นที่ควรมีหน่วยงานอื่นมาช่วยตรวจวิเคราะห์ เพราะหน่วยงานของรัฐอาจไม่พอหรือไม่มี เช่น สำนักสิ่งแวดล้อมของ กทม. ที่มีภาระงานหลายด้าน
หรือใน จ.อุบลราชธานี ที่ต้องส่งตัวอย่างมาตรวจยังห้องปฏิบัติการใน กทม. เป็นต้น ทั้งนี้ “การที่สตรีทฟู้ดจะมีคุณภาพ ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจว่าจะให้ความสำคัญหรือไม่” ซึ่งระเบียบการตั้งจุดผ่อนผันให้ขายของบนทางเท้านั้นมีมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีนโยบายให้ยกเลิกเมื่อไม่นานนี้โดยให้เป็นดุลพินิจของแต่ละเขต ดังจะเห็นว่ามีทั้งเขตที่ยกเลิกและไม่ยกเลิก เช่น ใน 6 พื้นที่กลุ่มตัวอย่างของกรุงเทพฯ ที่ไปสำรวจ มี 2 พื้นที่ที่ให้ยกเลิกคือ สาทร-สีลม กับราชเทวี ส่วนอีก 4 พื้นที่คือเยาวราช บางกอกน้อย ราชประสงค์-ประตูน้ำ และถนนข้าวสาร ไม่มีการยกเลิกแต่อย่างใด
“เขตที่ไม่ยกเลิกจุดผ่อนผันเนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เช่น เยาวราช ไม่มีทางที่จะยกเลิกจุดผ่อนผัน แต่ทางเยาวราชเขามีการจัดการที่ค่อนข้างดี ทางผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตจะลงไปกำกับทุกวัน ค่อนข้างมีการจัดระเบียบที่ดีและเจ้าหน้าที่ก็มีทัศนคติที่ดีมากต่อสตรีทฟู้ด บอกมาว่า “อาจารย์!..เราทำได้ทุกสิ่งขอให้บอกมาเถิด” เขายินดีถ้าคนขายขายได้-คนซื้อมาซื้อ เช่นเดียวกับซอยอารีย์ สำนักงานเขตก็สนับสนุนเป็นอย่างดี มีการอบรม” ผศ.ดร.เรวดี กล่าว
เรื่องเล่าจากผู้ค้า “สุภัทรา” ตัวแทนกลุ่มซอยอารีย์ (พหลโยธิน ซอย 7) เล่าว่า ในพื้นที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสำนักงานเขต รวมถึงธนาคารออมสิน โดยมีผู้ค้า 53 คน รวมกลุ่มกันดูแลเรื่องคุณภาพอาหารให้มีความปลอดภัย มีการประชุมเดือนละครั้ง มีการตรวจสุขภาพผู้ค้าทุกปี แต่ในช่วงนี้ต้องย้ายไปขายที่อื่นก่อนเนื่องจากบริเวณดังกล่าวอยู่ในช่วงปิดปรับปรุง คาดว่าจะกลับมาขายได้ในเดือน ก.ย. 2562
“ฝ่ายสิ่งแวดล้อมเข้ามาอบรมและเน้นย้ำเรื่องอาหารปลอดภัย พวกเราเป็นแม่ค้าก็จะช่วยๆ กัน อย่างเรื่องการเก็บอุปกรณ์ ส่วนมากเชื้อโรคจะไม่เจอในอาหารที่เราปรุงใหม่ๆ แต่จะเจอได้จากอุปกรณ์ที่เราทำ เพราะกลางวันเราทำกลางคืนเราเก็บ ก็จะมีแมลงสาบขึ้นมา ฉะนั้นต้องเก็บให้มิดชิด ใช้ถุงพลาสติกหุ้มอุปกรณ์ทุกอย่างที่เราทำ ไม่เช่นนั้นพวกนี้มันก็จะเข้าไปจับ พอเราเปิดร้านค้า ถ้าทำความสะอาดไม่ดีก็จะมีเชื้อโรค” ตัวแทนกลุ่มผู้ค้าในซอยอารีย์ ระบุ
อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ “การย้ายสตรีทฟู้ดจากทางเท้าเข้าไปอยู่ในตลาด..แต่อยู่ในทำเลดี เหมาะสมกับการทำการค้า” กรณีนี้เกิดขึ้นที่ จ.อุบลราชธานี โดย“เฉลียว” ตัวแทนกลุ่มตลาดโต้รุ่งราชบุตร (ทุ่งศรีเมือง) เล่าว่า เทศบาลนครอุบลราชธานีได้เช่าที่ราชพัสดุซึ่งค่าเช่าไม่แพงมาจัดทำเป็นตลาดให้ผู้ค้าย้ายเข้ามาขายของ และช่วยสนับสนุนเรื่องไฟฟ้าอีกต่างหาก แต่ในส่วนของน้ำประปาสมาชิกแต่ละรายจะเสียค่าใช้จ่ายเอง ปัจจุบันในกลุ่มผู้ค้าของตลาดมีอยู่ 102 คน แต่ละร้านจะมีถังขยะเป็นของตนเอง พอขายเสร็จก็ล้างร้านแล้วก็เก็บขยะใส่ถุงดำเอาไปทิ้ง
ด้าน นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเสริมว่า คนไทยไม่มากก็น้อยต้องเคยบริโภคอาหารริมทางหรือสตรีทฟู้ด โดยจากการสำรวจ พบ “คนไทยบริโภคอาหารริมทางเฉลี่ย 6-7 ครั้งต่อสัปดาห์” เนื่องด้วยอาหารริมทางเข้าถึงได้ง่าย ดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงต่อไปคือทำอย่างไรอาหารที่เข้าถึงได้ง่ายนี้จะมีทั้งความสะอาดและมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย
อนึ่ง ข้อมูลจำนวนผู้ค้าหาบเร่-แผงลอยของกรุงเทพมหานคร (นับถึง 21 ต.ค. 2559) โดยสำนักเทศกิจ กทม. ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ในยุคที่รัฐบาลกลางมาจากการเลือกตั้งไม่ว่าพรรคใดก็ตาม ผู้บริหาร กทม. มักมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 (มาตรา 20) เปิดจุดผ่อนผัน จนมาถึงรัฐบาลทหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ กทม. เปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบของ คสช. ด้วยการยกเลิกจุดผ่อนผันจากกว่า 700 จุด ในปี 2556 เหลือเพียง 200 กว่าจุดในปี 2559
ดังนั้นก็เชื่อว่าในปัจจุบันที่ประเทศไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง (แม้จะมีนายกฯ คนเดิมจากรัฐบาลทหาร) และจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. รวมถึงผู้นำองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเร็วๆ นี้ สตรีทฟู้ดหรือหาบเร่แผงลอยก็คงจะกลับมา ดังนั้น ก็อยากจะให้กลับมาอย่างเป็นระเบียบ รวมถึงให้ความสำคัญกับความสะอาดของอาหารด้วย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี