ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ร้อง อบจ.กาญจนบุรี พัฒนาโรงงานกระดาษไทยต้องเพื่อประโยชน์สาธารณะและกลุ่ม "เครือข่ายภูมิบ้าน-ภูมิเมืองกาญจน์" ต้องมีส่วนร่วม
วันนี้ (29 พ.ค.66) นายสุรพงษ์ กองจันทึก ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า การพัฒนาโรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี ซึ่งเป็นอาคารสุดคลาสสิกอายุเกือบร้อยปี ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "มิวเซียมอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย" องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กาญจนบุรี ต้องให้กลุ่ม "เครือข่ายภูมิบ้าน-ภูมิเมืองกาญจน์" และคนเมืองกาญจน์เป็นกรรมการมีส่วนร่วมเพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์และพิพิธภัณฑ์เพื่อประชาชน
นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรีได้รับมอบอาคารมาแล้ว ควรต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาในการพัฒนาพื้นที่ โดยการมีภาคประชาสังคมจังหวัดกาญจนบุรี กลุ่ม "เครือข่ายภูมิบ้าน-ภูมิเมืองกาญจน์" เป็นกรรมการร่วมด้วยและจัดเวทีประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็น ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาสู่แผนในการพัฒนาพื้นที่ที่เน้นประโยชน์และการเข้าถึงของประชาชนกาญจนบุรีและสังคม ที่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
เมื่อวันที่ 9 พ.ค.66 ที่ผ่านมา บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในเครือกลุ่มบริษัทบีทีเอส ซึ่งได้ดำเนินการเข้าซื้อโรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี ได้ลงนามส่งมอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี ใช้เป็นอาคารอนุรักษ์เพื่อสังคมของจังหวัด และกิจกรรมประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม
โรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมืองกาญจนบุรี มีเนื้อที่กว่า 60 ไร่ สร้างไว้เมื่อปี พ.ศ.2476 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกระทรวงกลาโหม และเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2481 โดยพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีชื่อเมื่อแรกก่อตั้งว่า โรงงานทำกระดาษทหารกาญจนบุรี นอกจากผลิตกระดาษแล้วยังเป็นโรงงานแห่งแรกที่ผลิตธนบัตรไทยและแสตมป์โดยใช้เยื่อไม้ไผ่
ตัวอาคารออกแบบโดยวิศวกร และนายช่างจากประเทศเยอรมนี เป็นสถาปัตยกรรมขนาดมหึมาท่ามกลางโบราณสถานกำแพงเมืองเก่า ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 โรงงานแห่งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ในการเปลี่ยนแปลงสังคมจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมของจังหวัดกาญจนบุรี
สถาปัตยกรรมแบบยุโรปโบราณแห่งนี้ได้รับการขนานนามให้เป็น "มิวเซียมอุตสาหกรรมแห่งแรกของไทย" เป็นแหล่งชุมชนที่มีเรื่องราว และอิทธิพลต่อสังคมในเมืองกาญจนบุรี ณ สมัยนั้น ซึ่งปัจจุบันสภาพทุกอย่างของโรงงานยังคงเหมือนเดิม ทั้งตัวโครงสร้าง ปล่องควัน เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และเครื่องจักรผลิตกระดาษ ซึ่งเหลือเป็นชิ้นสุดท้ายของโลกที่ประเทศไทย
พ.ศ.2530 คณะรัฐมนตรีมีมติ ยกเลิกกิจการโรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี และเห็นชอบให้บริษัทอุตสาหกรรมกระดาษศิริศักดิ์ จำกัด เป็นผู้ประเมินซื้อโรงงาน และให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุ โดยครบกำหนดสัญญาในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560
ต่อมาทางภาคประชาสังคมจังหวัดกาญจนบุรีทราบว่าในปี 2556 กรมธนารักษ์ กรมศิลปากร จังหวัดกาญจนบุรี และ บริษัทอุตสาหกรรมกระดาษศิริศักดิ์ จำกัด ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เตรียมพัฒนาพื้นที่ในโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น พิพิธภัณฑ์โรงพิมพ์ และโรงแรมแนวอนุรักษ์เชิงพานิชย์ วงเงินกว่า 1,500 ล้านบาท
ภาคประชาสังคมจึงรวมตัวกันเคลื่อนไหวให้ทางจังหวัดยุติโครงการ และเรียกร้องให้กรมธนารักษ์ยุติสัญญาเช่าที่ดินกับบริษัทเอกชน ที่มีการขยายการสิ้นสุดจนจะหมดสัญญาในเดือนพฤศจิกายน 2561 โดยได้รวบรวมรายชื่อประชาชน 70,000 รายชื่อ ยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผ่านประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในที่สุดกรมธนารักษ์ยุติสัญญาเช่าที่ดินแปลงนี้กับเอกชน และนำมาสู่การปิดฐานการผลิตกระดาษลงในเดือนตุลาคม 2561
ภาคประชาสังคมได้รวมกลุ่มเป็น "เครือข่ายภูมิบ้าน-ภูมิเมืองกาญจน์" โดยมีนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติชาว จ.กาญจนบุรีเป็นที่ปรึกษาได้จัดเวทีประชาสัมพันธ์ให้คนในจังหวัดรับรู้และร่วมออกแบบกลไกการบริหารจัดการ นำมาสู่แผนเบื้องต้นในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่มีทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในจังหวัดเป็นหุ้นส่วนกลไกการขับเคลื่อน
แต่เมื่อ อบจ.กาญจนบุรีได้รับมอบอาคารจากบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในเครือกลุ่มบริษัทบีทีเอส กลับไม่มีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและกลุ่ม "เครือข่ายภูมิบ้าน-ภูมิเมืองกาญจน์" -003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี