ก่อนหน้านี้กลายเป็นกระแสและมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ภายหลังจากที่นายณัชพล สุพัฒนะ หรือ “มาร์ค พิทบูล” อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ประกาศลาออกจากพรรคโดยให้เหตุผลผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Pitbullzone” เท่านั้น โอกาสนี้ “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ได้พูดคุยถึงเบื้องหลังว่าเหตุผล

**จริงๆ แล้ว เหตุผลที่ลาออกเป็นเพราะอะไร จะเป็นไปตามกระแสข่าวหรือไม่

มาร์ค พิทบูล เล่าให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า หลังจากที่ประกาศลาออกจากพรรคไทยศรีวิไลย์ ว่า ตนมีความอิสระเสรีมากขึ้น ไม่ต้องมีข้อผูกมัด เพราะตนเป็นคนชอบความอิสระอยู่แล้ว แต่ช่วงหนึ่งที่ได้เข้ามาทำงานทางการเมือง ชีวิตไม่ได้เป็นของเราแล้ว ชีวิตเรากลายเป็นของประชาชน ทำอะไรก็ต้องระมัดระวังตัวจะพูดอะไรก็ต้องคิด และอยู่ภายใต้เงื่อนไข พอได้ลาออกจากพรรครู้สึกว่ามันโล่งมาก เราไม่ต้องแบกรับอะไรอีก แต่จะมีก็เรื่องเดียวที่เราลงพื้นที่ตอนหาเสียง มีคนมาเลือกเรา เข้าพรรคเพราะเรา บริจาคเงินเพราะเรา จึงเลือกที่จะยังคงสภาพของสมาชิกพรรคเอาไว้ เพราะเวลามีอะไรเกิดขึ้นกับพรรคเราก็มีสิทธิมีเสียง

มาร์ค พิทบูล เล่าต่ออีกว่า หลังจากออกจากพรรคไทยศรีวิไลย์แล้ว ก็มีพรรคการเมืองอื่นที่ติดต่อเข้ามาบ้าง บางพรรคก็เสนอตำแหน่งมาแล้ว และก็มีผู้ใหญ่ที่ให้การเคารพมาทาบทาม ซึ่งตนยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น เพราะยังมีเวลาอีกยาวนาน ใจจริงผมไม่อยากเล่นการเมือง แต่มีการชักชวน และข้อเสนอน่าสนใจ ซึ่งการเป็นเน็ตไอดอลในขณะนั้น เพราะได้ต่อสู่กับความไม่เป็นธรรมทางสังคม มาคิดว่าถ้าเรามีบทบาทเป็น ส.ส. การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมทางสังคมจะมีน้ำหนักหน่อย เพราะมีกฎหมายรองรับ ถ้าเราสู้ในนามบุคคลธรรมดา ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับมันอาจจะเสี่ยงต่อการเป็นคดีความ คิดว่าถ้าหากเป็นส.ส.อาจจะมีกฎหมายเอื้อให้เราทำได้

“มองว่าสิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศไทยมากที่สุด คือ เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และระบบข้าราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ คนไทยเริ่มจะอ่อนแอ เราจึงต้องปราบโกง สร้างงาน สร้างอาชีพ ปฏิรูปการศึกษา และคืนความเป็นธรรมให้กับสังคม หากสิ่งเหล่านี้ได้มีการปฏิรูปจะทำให้ประเทศเราก้าวไปได้เร็วมาก แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าประเทศเรามีการทุจริต คอร์รัปชั่น มีการโกงกินกันจำนวนมาก และข้าราชการทำงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งแปลกใจหรือไม่ว่าทำไมข้าราชการหลายๆ คนพอเกษียณราชการไปแล้วรวย เพราะเป็นตั้งแต่ตอนแรก คือ การโกงกินตั้งแต่แรกเลยทำให้ข้าราชการหลายคนรวย ซึ่งความเป็นจริงมันไม่มีทางจะมีเงินเป็น 100 ล้านบาทได้ หากไม่ใช่ตระกูลที่รวยมาก่อนสันนิฐานได้เลยว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่จับไม่ได้ ซึ่งประเทศเราต้องมีการปราบโกงอย่างจริงจัง และให้กำลังใจข้าราชการที่ทำดี แต่จะคัดพวกข้าราชการที่คิดไม่ดีต่อประเทศออกไป” มาร์ค พิทบูล กล่าว   

**สาเหตุหลักที่ลาออกจากพรรคไทยศรีวิไลย์คืออะไร?

มาร์ค พิทบูล ให้เหตุผลว่า อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ แล้วจะอยู่ทำไม อยู่ไปก็เสียเวลา ผมไม่ว่าทำอะไรก็ต้องประโยชน์ต่อทั้งตนเองและคนอื่น ชีวิตไม่ได้มีอยู่แค่นี้ ถ้าอยู่ตรงไหนแล้วกลายเป็นภาระ เป็นพันธะแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง จึงตัดสินใจลาออก เพราะลาออกมีประโยชน์กว่า มีอิสระกว่า จะไปพูดอะไรที่เผาบ้านตัวเองก็พูดไม่ได้ จะเชียร์พรรคตัวเองเกินไปก็ไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นการเป็นคนธรรมดาดีที่สุด

**ทะเลาะกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือไม่ ที่ลาออกจากพรรค?

มาร์ค พิทบูล กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีการทะเลาะ แต่ว่าเป็นการทะเลาะกันทางความคิด เพราะความคิดของแต่ละคนเป็นเรื่องส่วนตัว แนวทางคนเราก็ไม่ต้องเหมือนกัน แต่ส่วนตัวไม่มีอะไร แต่บางเรื่องตนก็ไม่เห็นด้วย และความคิดเห็นไม่ตรงกัน เช่น ตนไม่เอาทหารตั้งแต่ต้น แล้วพอถึงเวลาพรรคเรากลับไปสนับสนุนทหาร แล้วถ้าวันหนึ่งประชาชนมาถามจะตอบยังไง เนื่องจากพูดอย่างทำอย่าง เราเป็นนักการเมืองแบบใหม่ได้หรือไม่ เพราะการเป็นนักการเมืองคำพูดต้องสำคัญ วันนี้มีหรือไม่นักการเมืองที่กล้ารักษาคำพูดท้ายที่สุดก็อ้างมติพรรค แต่มติพรรคคือการบิดพลิ้วคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ควรจะรักษาคำพูดหรือทำตามมติพรรค เมื่อพูดแล้วทำไม่ได้ เป็นเรื่องที่ผมลำบากใจมาก ซึ่งมติเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากใครเสียงข้างมากก็ลากกันไปได้ ผมเป็นคนสุดโต้งไม่ค่อยประนีประนอมเลยทำให้เข้ากับใครลำบาก

**มองบทบาทของหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร?

“ผมคิดว่าถ้าเขายังทำแบบนี้คงไปไม่ได้ไกล และไม่เหลือใครเลยด้วย คนที่จะคบด้วยก็กลัวว่าคุณจะอารมณ์ไหน ซึ่งง่ายๆ ถ้าบทของคุณเป็นโจรเราก็จะรู้ว่าเขาเป็นโจร ถ้าเขาเป็นพระเราก็รู้ว่าเขาเป็นพระ แต่นี้เราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ในบาบาทไหนกันแน่ มันเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะบางครั้งคำพูดต้องเป็นใหญ่ ถ้ายังเป็นแบบนี้เขาจะไม่เหลือใคร เขาอาจจะเหมาะสำหรับการฉายเดียว เพราะการทำงานเป็นทีมทำแบบนี้ไม่ได้ และการไม่ฟังใครจะทำงานลำบาก” 

**เหตุผลอีกอย่างหนึ่งกลัวว่าปัญหาจะกระทบต่อพรรค เพราะทะเลาะกับตำรวจบางคนหรือไม่?

นายณัชพล กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า มันต้องกระทบแน่นอน เพราะพรรคเราก่อตั้งขึ้นมาเพื่อจะปราบตำรวจ ฉะนั้นการทะเลาะกับตำรวจยิ่งดี เพราะนโยบายของพรรคชัดเจน ไม่ใช่ว่าก่อนเลือกตั้งตอนหาเสียงพูดไว้ว่าจะปราบตำรวจ แต่พอได้ในสิ่งที่ต้องการกลับไม่สู้ตำรวจชัดเจนว่าสร้างภาพ หลอกลวง การจัดการตำรวจที่ไม่ดี ถอนราก ถอนโคน นี้คือสิ่งที่ประชานชนต้องการจากเรา ไม่ใช่ให้เราถอย พรรคจะโดนยุบก็ให้ยุบไป ถ้าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องพรรคจะโดนยุบได้ยังไง

“การเป็นนักการเมืองควรที่จะต้องโปร่งใสตั้งแต่ตอนแรกที่เข้าไป และต้องมีอาชีพที่ชัดเจนทำอาชีพอะไรก็ได้ อิสระ เสรี แต่มีคำว่าจรรยาบรรณมาครอบไว้  หากเป็นเรื่องที่กระทบต่อสังคมมากๆ ต้องลาออกทันที ไม่ใช่มาฝืนกระแส หรือตีตาม หลายคนรู้หรือไม่ว่านักการเมืองเข้ามาตอนแรกทำอาชีพอะไร ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นข้าราชการ นักการเมือง ต้องโปร่งใส ต้องตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินได้ ไม่ใช่ปกปิด พรรคการเมืองในปัจจุบันมีอยู่แค่ 2-3 พรรคเอง คือ พรรคข้าราชการ พรรคทหาร และพรรคนายทุน ไม่มีพรรคของประชาชนที่แท้จริงเลย ส่วนใหญ่มีเจ้าของหมด” และกล่าวอีกว่า “อุดมการณ์ผมชัดเจน คือ ปราบโกง ปฏิรูปข้าราชการ สร้างงานสร้างอาชีพ ปฏิรูปการศึกษา คืนความเป็นธรรมให้สังคม” 

นายณัชพล กล่าวต่ออีกว่า หลังจากว่างเว้นจากการเมืองก็มีเวลาให้กับธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ทำอะไรหลายๆอย่างที่ค้างคาไว้ เพราะตอนที่เข้าไปการเมืองแทบจะทิ้งธุรกิจเลย ไม่มีเวลาแม้กระทั้งให้กับครอบครัว และลูกน้องเลย ถ้าจะให้กลับไปเล่นการเมืองเต็มตัวอีกครั้งจะต้องมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ตนไม่อยากฟังน้ำลายใครอีก เพราะต้องการความชัดเจน หากวันไหนผิดสัญญาก็จะได้งัดสัญญาขึ้นมา คำพูดคนต้องชัดเจน เราตั้งใจที่เข้ามาทำการเมือง แต่เสียความรู้สึกมาก ที่เจอคนไม่รักษาคำพูด

**สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงใครบ้าง?

มาร์ค พิทบูล ฉุดคิดก่อนจะกล่าวออกมาว่า ขอฝากถึงประชาชน เพราะไม่ว่าคุณจะเกลียดการเมือง แล้วเลิกเอาอนาคตชีวิตตัวเอง ชีวิตของลูกหลานไปฝากไว้กับพรรคการเมือง เพราะหายากมากที่นักการเมืองจะเข้ามาช่วยประเทศชาติ ส่วนใหญ่เข้ามาเพื่อตัวเอง การลงทุน 100-1,000 ล้าน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้ามาทำงานเพื่อได้รับเงินเดือนละ 100,000 กว่าบาท ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เห็นการซื้อตัว แย่งเก้าอี้ แบ่งพรรค แบ่งพวก สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่าทำไมต้องแย่งกันขนาดนั้น

"ถ้าทุกคนต่างเข้ามาในฐานะรักชาติไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายค้าน อะไรดีก็ช่วยกันสนับสนุน อะไรไม่ดีต้องช่วยกันเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่เห็นว่าเป็นฝ่ายตัวเองยกมือสนับสนุนตลอด มันกลายเป็นว่าไม่ใช่การเมืองที่แท้จริง มันควรจะแบ่งที่ความดี ความเลว ไม่ใช่แบ่งที่เป็นฝ่ายเผด็จการ อีกฝ่ายเป็นประชาธิปไตย สิ่งเหล่านี้จะพาประเทศลงเหว" นายณัชพล สุพัฒนะ หรือ “มาร์ค พิทบูล” กล่าวทิ้งท้าย