หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ตอบปัญหาธรรมเกี่ยวกับ "สามเณรอรหันต์" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "ธรรมปฏิบัติ 22" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ไว้ดังนี้
วันนี้ก็จะขอนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงการถวายทานในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องน่าคิด คือ พราหมณ์มีจิตต้องการเคารพในบุคคลเฉพาะที่มีอายุมากๆ แต่มีอายุมากๆ แก่เกินไปก็ไม่ชอบ ถวายพระเด็กเกินไปก็ไม่ชอบ เณรไปรับสังฆทานก็ไม่ชอบ และก็ชอบบรรดาพราหมณ์หรือพระที่มีความแก่พอสมควร ก็ไม่ทราบว่าแก่พอสมควรเป็นอย่างไร ทว่าการถวายทานนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราทราบมาแล้ว คือ พระผู้รับหรือบุคคลผู้รับ ว่ามีอานิสงส์ต่างกัน ถ้าบังเอิญไปถวายทานกับพระอรหันต์เข้า อานิสงส์ก็สูงเป็นกรณีพิเศษ
แต่ว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสไว้เป็นพิเศษอย่างหนึ่งนั่นคือ การถวายสังฆทาน พระผู้รับจะมีคุณสมบัติเพียงใดก็ไม่เป็นไร เพราะการถวายทานนั้นถวายแก่สงฆ์ ยังไงๆ อานิสงส์ที่พึงจะได้รับได้รับมากจริงๆ แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถ้าบังเอิญพระผู้รับ หรือว่าเณรผู้รับ เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องตามคติของพระพุทธศาสนา ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าก็ยังมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ แต่ทว่าผู้รับถ้ากินเข้าไป หรือใช้ของเขาในการถวายสังฆทานนี้ ตกนรกเอง เป็นเรื่องของท่าน
**พราหมณ์นิมนต์ถวายทาน**
เนื้อความมีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ในตอนนั้นก็มีพราหมณ์ 2 คนผัวเมีย ต้องการจะถวายทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ทว่าโดยนัยแล้ว ที่แกนิมนต์พระมานี้เป็นสังฆทาน การนิมนต์พระในคราวนั้น พระในที่นั้นมี ท่านมหาบัณถก เป็นผู้จัดพระ เขาเรียกว่า ภัตตุเทศก์ พระพุทธเจ้าทรงตั้ง นั่นก็หมายความว่าถ้าเขานิมนต์พระสัก 5 องค์ ผู้จัดก็ต้องจัดองค์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 เรียงลำดับตามอาวุโส
ถ้าทีหลังเพิ่มมาอีก 5 องค์ ก็ต้องจัดองค์ที่ 6 ขึ้นต่อไปถึงองค์ที่ 10 มาอีกก็จัดองค์ที่ 11 ขึ้นต่อไป ตามลำดับอาวุโสอย่างนี้ เว้นไว้แต่ท่านเจ้าของท่านจะเจาะจงว่าพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง อย่างที่วัดของเราทำแบบนี้ หมายความว่าเฉลี่ยผลได้ของลาภสักการะที่จะพึงเกิดแก่สงฆ์ให้ทั่วถึงกัน คือไม่เป็นการอคติ ถ้าเจ้าภาพตั้งใจเฉพาะพระองค์ใดองค์หนึ่ง อันนี้ภัตตุเทศก์ คือผู้จัดระเบียบของพระปฏิบัติได้ ตามใจชาวบ้านได้เพราะเขาเจาะจง คือไม่ขัดความประสงค์
**จัดสามเณร 7 ปีขึ้นไป**
มาตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อพราหมณีคือพราหมณ์เมีย พราหมณ์นี้ไม่รู้ว่าใคร ใช้พราหมณ์ผัวไปนิมนต์พระที่มหาวิหารในพระเชตวัน ต้องการพระมาถวายทาน พระมหาบัณถกก็จัดพระอรหันต์ที่มีความสำคัญ 4 องค์ คือเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมดแต่อายุ 7 ปี มีบัณฑิตสามเณรเป็นต้น อายุแค่ 7 ปีเท่านั้น
อายุ 7 ปีนี้มีสิทธิ์เป็นพระอรหันต์ คือ มีสิทธิ์เป็นพระอริยเจ้า ถ้าเด็กต่ำกว่าอายุ 7 ปี ต่ำกว่าอายุ 7 ปีนะ ไม่มีสิทธิ์เป็นพระอริยเจ้า แต่ทำฌานโลกีย์ให้เกิดได้ แต่เข้าเขตอายุ 7 ปีมีสิทธิ์เป็นพระอริยเจ้าได้ ไม่ใช่เป็นกันดะไป ก็รวมความว่าสามเณร 4 องค์นี้เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
คราวนี้ตาพราหมณ์ผู้สามีแกไปนิมนต์ ก็พอดีถูกเณรพอดี ท่านมหาบัณถกก็สั่งให้เณร ความจริงถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจะอายุกี่ปีก็ตาม 7 ปีก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระเต็มอัตรา เรียกว่ามหาเถระคือพระผู้ใหญ่มาก
นี่ความจริงความเป็นพระ คือความเป็นผู้ใหญ่ในพระพุทธศาสนานี่ไม่ใช่อายุ หรือว่าไม่ใช่วิชาความรู้ที่เรียนมาเป็นเปรียญ เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เป็นเปรียญ 9 ประโยค อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงเรียกมหาเถระ และก็ยังไม่เรียกพระด้วย ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันเพียงใด ยังไม่เรียกพระ
ถ้าเด็กอายุแค่ 7 ปี หรือผู้หญิงก็ตามผู้ชายก็ตามที่ยังไม่ได้บวช ถ้าบรรลุมรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าพระ แต่ความจริงพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีนี้บรรลุไม่ยาก มันเป็นของไม่ยากจริงๆ คำว่าไม่ยากนี้ก็หมายความว่า เราทรงคุณธรรมเพียงเล็กน้อย อย่างคนที่เป็นพระโสดาบันจริงๆ เฉพาะฆราวาสก็มี
**อารมณ์พระโสดาบัน**
1.เคาระพระพุทธเจ้า
2.เคารพพระธรรม
3.เคารพพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ
4.รักษาศีล 5 บริสุทธิ์ผุดผ่อง
5.จิตต้องการจุดเดียว คือพระนิพพาน
เพียงเท่านี้น่ะ ท่านเรียกพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี ตัดสังโยชน์เท่ากัน
**พราหมณีไม่ชอบใจ**
เวลานั้นพระมหาบัณถกส่งสามเณร 4 องค์ไป พระพุทธเจ้าทางเรียกมหาเถระแล้วเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด พอสามเณร 7 ปี 4 องค์มาถึงบ้าน ยายพราหมณีแม่บ้านไม่ชอบใจ หาว่าตาพราหมณ์ไปนิมนต์เอาพระกระจ้อยร่อยเด็กเล็กๆ 7 ปี มาทำไม ทำบุญทำกุศลไม่ได้บุญอาสนะคือที่นั่งสำหรับพระมีไว้ แกก็ยังไม่ยอมให้นั่ง ให้นั่งต่ำกว่านั้น คือให้นักกับพื้นธรรมดาๆ แล้วก็ไม่ยอมถวายอาหาร
บรรดาสามเณรผู้เป็นจอมอรหันต์คือปฏิสัมภิทาญาณเขาเรียกจอมอรหันต์ชั้นเลิศ ขณะนั้นมี 4 อันดับ คือ
1.สุกขวิปัสสโก
2.เตวิชโช ได้แก่วิชชา 3
3.ฉฬภิญโญ ได้แก่อภิญญา 6
4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต ได้แก่ปฏิสัมภิทาญาณ
สามเณร 4 องค์นี้เป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด เก่งมากสำคัญมาก แต่ว่ายายพราหมณีแกดูแต่ตัว แกไม่ดูคุณสมบัติแกไม่ยอมให้ที่นั่งที่ๆจัดไว้ และข้าวแกก็ไม่ยอมปล่อยให้กินแกก็ขับตาพราหมณ์ผัวว่า... “ไอ้ตาพราหมณ์ แกไปดันนิมนต์พระกระจ้อยร่อยมาทำไม บุญมันไม่ได้หรอก ไอ้พระตัวเล็กๆแบบนี้”
**นิมนต์พระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน์**
ความจริงแกไม่เรียกพระ แกเรียกพราหมณ์ แกไปหาพราหมณ์ตัวเล็กๆ ตัวกระจ้อยร่อยมาทำไม ไป ไปหามาใหม่ฉันต้องการพราหมณ์ที่มีอาวุโสผู้ใหญ่ พราหมณ์แกก็ไปที่มหาวิหารไปพบพระสารีบุตร ก็บอกว่า.... “พระคุณเจ้าขอรับ ขอไปนิมนต์รับสังฆทานที่บ้านผม”
คำว่า สังฆทาน นี้ความจริง นิมนต์พระองค์เดียวก็ได้แต่พระองค์เดียวนี้ฉันไม่ได้นะ ถ้าฉันต้องแบ่ง แบ่งไว้เฉพาะส่วนที่เป็นของตน ต้องไปถวายพระสงฆ์ในหมู่ใหญ่ ถ้าฉันองค์เดียวตกนรก กินแล้วไม่แบ่งกับหมู่ใหญ่นี้ ตกนรก
ก็รวมความว่าไปเจอะพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็มาท่านไม่ทราบว่าสามเณร 4 องค์มาอยู่แล้ว พอพระสารีบุตรมาเห็นสามเณร 4 องค์เข้าท่านก็ถามว่า "พราหมณ์ พราหมณ์ 4 คนนี้รับภัตตาหารแล้วหรือยัง...?" พราหมณ์ก็บอกว่า "ยัง ยังไม่ได้จัดให้ ตัวเล็กเกินไป"
ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าพราหมณ์ 4 คนนี้ยังไม่รับเพียงใด ฉันก็ไม่รับ"
เลยกลับไปเลย ยายพราหมณีก็โมโห ไอ้พราหมณ์โตไม่ยอมรับ ไล่ตาพราหมณ์สามีไปอีก พราหมณ์สามีไปเจอพระโมคคัลลาน์เข้า ได้พระโมคคัลลาน์มา พระโมคคัลลาน์ก็บอกแบบนั้น ท่านไม่ยอมรับ
บอกว่า "ถ้าพราหมณ์ 4 คนนี้ยังไม่ได้รับ ท่านก็ไม่รับ"
ยายพราหมณีโมโหใหญ่ ไล่ตาพราหมณ์บอก ไปเอาที่เรือนแสดงธรรม ไปเจอพระมหาเถระองค์ใดองค์หนึ่งเข้าเอามา ข้าจะถวายทานกับพระผู้ใหญ่ ไอ้พระไอพราหมณ์ตัวเล็กๆนี้ข้าไม่เอา
**พระอินทร์แปลงร่าง**
เวลานั้นก็ปรากฏว่าพระอินทร์อยู่บนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ถึงอาการร้อนอาสน์ ทิพยอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา คือว่าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ตามปกตินิ่มเหมือนกับนวม แต่ว่าถ้ามีเรื่องเกิดกับคนมีบุญในโลก ในมนุษยโลก ทิพยอาสน์อันนี้จะแข็ง พระอินทร์ก็ทราบได้ว่าคนที่มีบัญถูกทรมานมีความลำบอกต้องช่วย เพราะช่วยได้
ท่านก็มองลงมาด้วยทิพยเนตร เทวดาท่านมีทิพยเนตรเรามีทิพจักขุญาณ ก็ทราบว่าพระอรหันต์องค์สำคัญ 4 องค์ถูกนายพราหมณีทรมานให้มีอาการหิว เวลานี้เริ่มหิวแล้วตอนสายๆ เขานิมนต์ไปแล้วก็ยังไม่ได้ถวาย โดยมารยาทก็ยังกลับไม่ได้เขายังไม่ส่งกลับ ท่านที่ต้องการจะทรมานพราหมณ์ให้มีความเข้าใจว่าความดีของพระ หรือความดีของพราหมณ์ หรือความดีของคนไม่ใช่อยู่ที่อายุ ไม่ใช่อยู่ที่หลักสูตรในการปฏิบัติเบื้องต้น คือว่าการศึกษาจากปริยัติ การเรียนหนังสือ ความสำคัญจริงๆอยู่ที่มรรคผล
ท่านทราบว่าเวลานี้พราหมณ์ต้องการพระที่มีความเป็นผู้เฒ่าอายุมากๆ ในเรือนแสดงธรรมเทศนา ท่านจึงแปลงเป็นพราหมณ์แก่ เป็นพระแก่ แต่ว่าเขาเรียกว่าพราหมณ์ เป็นพระแก่มานั่งอยู่องค์เดียวที่โรงแสดงธรรม
ตาพราหมณ์เข้าไปเจอะเข้าก็ดีใจ ได้พระแก่ แก่มากผลที่สุดก็นิมนต์มา ท่านก็มา พอมาถึงบ้าน เขานิมนต์นั่งบนอาสน์สงฆ์กับสามเณรทั้ง 4 องค์ แทนที่ท่านจะนั่ง ก็เข้าไปกราบสามเณรทั้ง 4 องค์
ยายพราหมณ์โกรธใหญ่! "พราหมณ์แก่ ทำไมไปกราบพราหมณ์เด็ก ไม่เป็นการสมควร"
พระอินทร์ พระแก่น่ะ ท่านก็บอกว่า "พระ 4 องค์หรือพราหมณ์ 4 องค์มีคุณสมบัติดีกว่าฉัน ฉันมีความเคารพต้องกราบท่าน"
ยายพราหมณ์จึงสั่งให้ตาพราหมณ์พร้อมกับยายพราหมณีสองคน ลากพระแก่คือพราหมณ์ออกไปภายนอกออกไป พอกลับเข้ามาปรากฏว่า พระแก่มานั่งที่เดิม มานั่งกราบสามเณรอีก แกก็โมโห ขับไปนอกบ้านแล้ว เข้ามาได้ยังไง ลากกลับแบบนั้น 3 ครั้ง
เขาถามว่า "ไล่ไปแล้วเข้ามาได้ยังไง...?"
พระแก่ คือพระอินทร์ ก็บอกว่า “ฉันคือท้าวสักกเทวราช ความจริงไม่ใช่พระแก่ตามที่แกว่า” ก็เลยแสดงตัวเป็นพระอินทร์ชัด
ท่านก็เลยบอกว่า "สามเณร 4 องค์นี้มีอายุ 7 ปีจริงแหล่ แต่ว่ามีคุณสมบัติสูง ฉันเป็นพระอินทร์ยังต้องไหว้ ทั้งนี้เพราะอะไร ท่านทั้ง 4 เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เวลานี้เธอทั้งสองทรมานจนเกิดความหิว ไอ้การบำเพ็ญกุศลของเธอน่ะมันจะไม่ได้บุญ แทนจะได้บุญจะกลายเป็นบาป เพราะเอาพราหมณ์มาทรมาน"
เขาเรียกพราหมณ์ ท่านก็พราหมณ์ด้วย เท่านี้แล้วท่านก็เหาะกลับไป พราหมณีกับพราหมณ์ตกใจ ว่านึกไม่ถึงเลยว่าเณรตัวเล็กๆ พราหมณ์ตัวเล็กๆ จะเป็นพระอรหันต์ จึงได้ถวายภัตตาหารแก่ท่าน ภัตตาหารเวลานั้นท่านไม่ได้ฉันที่นั้น เมื่อใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้พรเสร็จ สามเณร 3 องค์ มีบัณฑิตสามเณรเป็นต้น เหาะขึ้นทางอากาศ สามเณรองค์ที่ 4 ดำดินกลับ เป็นอันว่าคนสองคนแปลกใจ
นี่แหละท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่นำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่า บรรดาท่านพุทะบริษัททั้งหลายเป้นคนที่มีความดีในการบำเพ็ญกุศลมาก มีอารมณ์เครร่งครัดในการปฎิบัติทั้งทาน ศีล ภาวนา และเรื่องของการถวายทานนนี้ถ้าเราให้กับคนที่ไม่มีความดี อานิสงส์ที่เราจะพึงได้เกือบจะไม่มีเลย.
.............
คัดลอกจาก ธรรมปฏิบัติ22โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี