หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเรื่อง "อานันทเศรษฐ" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ไว้ดังนี้
พระสูตรเรื่องนี้ เป็นพระสูตรชี้เหตุชี้ผลที่คนชอบพูดกันว่า "ความชั่วไม่ทำความดีไม่สร้าง ตายแล้วมีความสุข" แต่ในพระสูตรเรื่องนี้กลับบอกว่า "คนที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่สร้างนั้นตายแล้วผลกรรมส่งผลให้เกิดเป็นอัครมหาทุคคตะ" (คือขอทานผู้อดอยากเป็นเลิศ) หมายความว่า ขอทานธรรมดาเขายังมีคนให้ แต่ผู้ไม่ทำความดีไม่มีความชั่วนี้กลับอดไม่มีใครให้ เรื่องนี้มีมาในพระสูตรดังนี้
สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ทรงปรารภ "อานันทเศรษฐี" คู่จอมอดอยากหรือจะเรียกว่าเป็นผู้เลิศในทางอดก็คงไม่ผิด เนื้อความย่อมีอยู่ว่าสมัยนั้นมีเศรษฐีท่านหนึ่งมีนามว่า อานันทเศรษฐี ท่านเศรษฐีผู้นี้มีความดีเป็นพิเศษคือเรื่อง "ของของเขาเราไม่เอา ของของเราก็ไม่ให้" คือท่านมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าทรัพย์สินที่จะมีถึงความเป็นเศรษฐีได้อย่างนี้ไม่มีใครให้เรา เป็นทรัพย์สินที่ปู่ ย่า ตา ยายหาไว้ให้ ชาวบ้านไม่เคยนำมาให้ในเมื่อปู่ย่าตายายท่านหามาด้วยความเหนื่อยยาก ค่อยๆ เก็บรวบรวมมาจนมีทรัพย์สินขนาดนี้ เราเป็นผู้สืบต่อตระกูลเป็นมหาเศรษฐี เราก็ควรที่จะรักษาความเป็นมหาเศรษฐีไว้โดยไม่ต้องแบ่งหรือให้ใครเลย แล้วท่านก็ทำอย่างนั้นจริง ใครมาขอก็ไม่เคยให้พระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตรก็ไม่เคยใส่บาตร แถมไม่เคยแม้แต่ก้มหัวให้นิดนึงก็ไม่เคยมี ดูกันตามปกติแล้วรู้สึกว่าท่านจะทำถูก ของเราไม่ให้ ของใครก็ไม่เอา ไม่ให้ใครและก็ไม่เบียดเบียนใคร
แต่ผลของการที่ไม่ให้มันก็มีผลร้ายเหมือนกัน คือ กินของเก่าหมด ของเก่าคือบุญคนที่มาเป็นมหาเศรษฐีได้เพราะอาศัยผลของการให้ทานมาในกาลก่อน เมื่อเกิดมาใหม่ผลของทานให้ผลให้เป็นมหาเศรษฐีคือทานที่ทำแล้วมีอานิสงส์มาก เช่น สังฆทานถวายผ้าป่า ความจริงผ้าป่าก็คือสังฆทานนั่นเอง ถวายกฐิน เฉพาะการถวายกฐินนี้ มีอานิสงส์เป็นพิเศษ ผูกขาดเป็นมหาเศรษฐีถึง 500 ชาติ ผลของทานที่ท่านมหาเศรษฐีให้มาแล้วบันดาลให้ท่านเป็นมหาเศรษฐี
"แต่เมื่อมาหยุดการให้ทานต่อ ท่านก็นั่งนอนกินบุญเก่าที่ทำไว้จนหมด ในที่สุดท่านก็ตายความตายของท่านอาศัยที่ท่านไม่มีบาปก็ไม่ไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น แต่ท่านก็ไปสวรรค์ไม่ได้เพราะท่านไม่เคยทำบุญ บุญที่จะพาท่านไปสวรรค์ไม่มีแก่ท่านเลย ต้องมาเกิดเป็นคนใหม่ เมื่อจิตออกจากร่างแล้วก็ตุปัดตุเป๋ไปตามเรื่องเพื่อหาที่เกิด ไปบ้านไหนประตูทางเข้าก็ไม่เปิดรับ พอดีไปพบประตูว่างไม่มีใครห้ามเข้าในที่แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปนอนสบายใจ ประตูที่เข้าไปและห้องที่นอนนั้นเป็นท้องของขอทานที่กำลังพร้อมจะมีครรภ์ (ตั้งครรภ์คือมีลูก)"
อานิสงส์ที่มารดาของท่านซึ่งท่านไปอยู่ในท้องนั้นก็มีอานิสงส์ที่ไม่ให้อะไรใครเลยก็ให้ผลทันที คือเมื่อเวลาไปขอทานแม่ของท่านที่ท่านนอนอยู่ในท้องก็ร่วมไปกับเขาด้วย วันนั้นทั้งวันพวกขอทานทั้งคณะต่างคนต่างบำเพ็ญตนเป็นโยคีไปตามๆกันคือจำศีลกินวาตา ท่านผู้อ่านจะไม่เข้าใจก็ขอเขียนใหม่ คำว่า จำศีลกินวาตา นั้นแปลว่าปกติกินลม คือวันนั้นทั้งวันไม่มีใครให้ทานเลย ทั้งนี้ ตามปกติแล้วเขาไปขอทานกันมีคนให้ทุกวัน มาวันนี้คนให้ก็ไม่มี แม้แต่คนมองดูก็ไม่มีอีกเลยไม่ต้องกินอะไรเลย ที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะบารมีของเด็กในครรภ์สงเคราะห์ให้อด
เมื่อหมดเวลา ขอทานหัวหน้าก็พาคณะขอทานกลับที่พัก ท่านหัวหน้าก็มาดำริว่าธรรมดาพวกเราเหล่าขอทานทั้งหลายต่างก็บำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว ด้วยทั้งชาติที่เกิดมาบรรดาขอทานทั้งหมดไม่ต้องทำไร่ไถนาหรือค้าขายอย่างอื่นนอกจากจะขายเสียงที่ออกปากขอเท่านั้น อาชีพนี้เป็นอาชีพสุจริตบริสุทธิ์ ยุติธรรมเป็นที่สุด เพราะศีลห้าของเราไม่ขาดมุสาวาทก็ไม่เต็มอัตรา เพราะการออกวาจาของเราไม่ได้โกง ใครให้เท่าไหร่พวกเราพอใจเท่านั้น แถมมีปิยวาจาคือวาจาน่ารักเมื่อใครได้ยินเสียงพูดด้วยวาจาที่ไพเราะต่างคนต่างก็เต็มใจให้ ในเมื่อเราบำเพ็ญบารมีดีเช่นนี้จึงไม่เคยขาดคนเมตตา มาวันนี้เป็นเพราะเหตุใดคนที่จะให้ก็ไม่มีแม้แต่คนจะมองดูเราก็หายาก เหตุที่เกิดขึ้นเช่นนี้ต้องมีใครในคณะของเราเริ่มมีครรภ์และเด็กในครรภ์นั้นต้องเป็นคนอัปรีย์จึงขาดคนเมตตา พรุ่งนี้ก่อนออกไปขอทานตามปกติเราต้องแบ่งคณะออกเป็นสองพวก เพื่อทราบว่าใครมีคนอัปรีย์มาเกิดในท้อง
พอรุ่งขึ้นหัวหน้าใหญ่ก็สั่งให้แยกออกเป็นสองคณะ วันนั้นพวกที่ไปกับแม่ของเด็กในครรภ์ คือ อานันทเศรษฐีมาเกิด ก็ไม่มีใครให้อะไรเลยอดเรียบร้อยเป็นเอกฅฉันท์ วันต่อมาหัวหน้าก็แบ่งคณะย่อยเล็กออกไปตามลำดับจนเหลือคนเดียว เป็นอันรู้แน่ว่าคนอัปรีย์มาเกิดในท้องแม่ของอานันทเศรษฐี แน่ เขาจึงสั่งให้เธออยู่บ้านไม่ต้องออกขอทานเพราะออกไปก็ไม่ได้อะไรเหนื่อยเปล่าๆ พวกขอทานทั้งหมดช่วยกันหามาเลี้ยง เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ววันใดแม่ไปขอทานโดยเอาลูกชายไปด้วยวันนั้นไม่มีใครให้อะไร แต่วันใดเธอไม่เอาลูกชายไปด้วยวันนั้นได้ของเหลือกิน เหลือใช้ ขอเล่าลัดๆโดยย่อ
เป็นอันว่าเมื่อลูกชายเดินได้คล่องตัวท่านแม่ก็เอาขันจอกเก่าๆ สำหรับขอทานหากินใส่มือแล้วบอกว่า ลูกรักแม่ไม่สามารถเลี้ยงเจ้าได้ขอเจ้าจงไปจากแม่ จะไปไหนก็ตามใจลูกแต่จงอย่าอยู่กับแม่ (ต้องขออภัยที่ลืมบอกรูปร่างความสวยสดงดงามของเด็กคนนี้) ตามบาลีท่านกล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยที่เธอเป็นคนไร้เมตตา ความชั่วไม่ทำ กรรมดีไม่สร้างตามที่เคยได้ยินอยู่เสมอว่า "บุญไม่ทำ กรรมไม่สร้าง เราต้องเกิดใหม่ในที่ที่มีความสุข ผลที่มีความคิดอย่างนี้เด็กคนนี้จึงมีรูปร่างเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น" ลองคิดดูปีศาจก็ดูเหมือนจะแย่อยู่แล้ว แถมคลุกฝุ่นด้วย ความสวยมหาศาล เมื่อเธอถูกแม่ไล่เธอก็ไปตามกรรมของเธอ เดินสะเปะสะปะไปตามที่คิดว่าจะไป ไปไหนบ้างเธอก็ไม่รู้จักทาง ไปแล้วก็ไม่รู้ว่าตรงนี้เขาเรียกว่าอย่างไร แต่ทว่าคนที่ตายจากความเป็นคนแล้วเกิดเป็นคนสามารถระลึกชาติได้หนึ่งชาติ
ความจริงเรื่องระลึกชาติได้หนึ่งชาตินี้เมื่อปี พ.ศ.2507 พ.ศ 2508 มีคนไทยที่ออกมาจากครรภ์มารดาตามปกติและเป็นลูกชาวไร่ชาวนา เมื่อโตขึ้นพอพูดได้สามารถเล่าเหตุการณ์เมื่อเกิดคราวก่อนได้ถูกต้อง มีอยู่รายหนึ่งเมื่อก่อนตายเธอเป็นหนุ่ม ตอนนั้นไปรักสาวคนเดียวกันกับเพื่อน ต่อมาเพื่อนชวนไปเที่ยวแล้วแทงเธอตาย เมื่อเธอเกิดมาใหม่ในเวลาห่างกันไม่นาน และเมื่อเธอพูดได้ชัดพอฟังรู้เรื่อง เธอก็เล่าเหตุการณ์ที่เธอตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ให้ผู้ใหญ่ฟัง เป็นการบังเอิญที่เธอเกิดไม่ไกลจากบ้านเดิม เรื่องราวต่างๆจึงมีผู้รับรองว่ามีจริง และปลัดอำเภอที่ทำการสอบสวนในคดีที่เธอถูกฆ่าตายก็ยังอยู่ที่อำเภอนั้นยังไม่ได้ย้ายไปไหน ท่านปลัดก็รับรองว่าเรื่องมีจริง และชื่อคนที่เด็กอ้างถึงก็มีตัวมีตนอยู่จริง
เป็นอันว่าเรื่องราวของอานันทยาจก ตอนนี้ต้องยกคำว่าเศรษฐีออกเพราะเป็นขอทานปีศาจคลุกฝุ่นไปแล้ว เมื่อเธอออกไปจากแม่เธอก็นึกได้ว่าเมื่อก่อนเธอตายเธอเป็นมหาเศรษฐีอยู่ที่โน่น และนึกได้ว่าที่นั้นเดินทางไปไหนเธอก็ไปตามความรู้สึกของเธอ ไปถึงบ้านเดิมตอนเช้าเจ้าของบ้านคนใหม่คือลูกชายของเธอยังไม่ตื่นจากที่นอนพอไปถึงเธอถือสิทธิ์เดิมที่เคยเป็นเจ้าของบ้านจะเข้าประตูบ้าน คนเฝ้าประตูก็ไม่ยอมให้เข้าดึงกันไปดันกันมาอยู่อย่างนั้น จนถึงเวลาที่พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ท่านไปบิณฑบาตทางนั้นพอดี
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นเด็กสวยพิเศษ สวยเหมือนเปรตหรือปีศาจคลุกฝุ่น ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์จึงทูลถามเรื่องการแย้มพระโอษฐ์ท่านก็ตรัสว่า อานนท์เธอเห็นอานันทเศรษฐีไหม พระอานนท์ก็มองซ้ายมองขวาไม่เห็นออานันทเศรษฐี ด้วยท่านเคยรู้จักเมื่อเขามีชีวิตอยู่ ท่านพระอานนท์จึงกราบทูลสมเด็จพระบรมครูว่าไม่เห็นพระเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่าเธอเห็นเด็กที่มีรูปร่างเหมือนปีศาจคลุกฝุ่นที่ประตูบ้านท่านมหาเศรษฐีไหม พระอานนท์ท่านก็ทูลตอบว่าเห็น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเด็กคนนั้นนั่นแหละคืออานันทเศรษฐีเธอจงบอกให้นายประตูที่ยืนยันหน้ายันหลังตั้งท่าขัดขวางเด็กผู้ทรงรูปโฉมมหาสคราญปานประหนึ่งปีศาจคลุกฝุ่นคนนั้น บอกให้เธอเรียกท่านมหาเศรษฐีลงมาพบคถาคต พระอานนท์ก็บอกนายประตูตามนั้น นายประตูไปบอกท่านเจ้าของบ้านว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลงมาพบ ท่านมหาเศรษฐีหนูก็ลงมานมัสการพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า เธอจำบิดาของเธอได้ไหม เขาทูลตอบว่าจำได้แต่ทว่าพ่อเขาตายไปแล้ว ไม่ทราบว่าเวลานี้ท่านอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเด็กคนนี้คืออานันทเศรษฐีพ่อของเจ้า ท่านมหาเศรษฐีหนุ่มส่ายหน้ากราบทูลว่าพ่อของข้าพระพุทธเจ้าท่านแก่กว่านี้และท่านตายไปนานแล้ว เจ้าเด็กปีศาจแกล้วคนนี้ไม่ใช่พ่อแน่ พระพุทธเจ้าท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณที่เห็นพ่อทูลหัวรูปงามทำท่าจะอดอยากต่อไปจึงถามเด็กคนนั้นว่าอานันทเศรษฐีทรัพย์สมบัติมากมายที่เธอฝังไว้ที่บุตรของเธอไม่รู้มีบ้างไหม เขากราบทูลสมเด็จพระจอมไตรว่ามี ท่านตรัสว่าถ้ามีเธอจงพาลูกชายไปขุดเขาก็นำลูกชายไปขุดได้ตามที่เขาบอก เป็นอันว่าเขาได้กินอาหารต่อไปจนกว่าจะหมดอายุขัย พระพุทธเจ้าทรงเมตตามิฉะนั้นด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่บุญไม่ทำกรรมไม่สร้างคงเป็นก้างขวางคอไม่ได้กินอาหาร ทรมานร่างกายตลอดชาติ
พระสูตรเรื่องนี้มีมาในพระธรรมบทเป็นเครื่องเตือนใจให้ทราบว่า การที่จะมีทรัพย์สินจะมากหรือน้อยก็ตามได้มาจากผลของการบริจาคทาน การให้ทานเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สินในชาติต่อไป ความจริงถ้าเป็นนักบุญที่เนื่องในการให้ทานจริงๆ ทำบุญให้ทานในเขตทานที่ให้ผลมาก ไม่ต้องทำคราวละมากๆ ทำน้อยๆ พอไม่เดือดร้อน แต่ทำบ่อยๆให้ติดต่อกันเป็นประจำ เช่น การ ถวายสังฆทาน เป็นปกติ สังฆทานก็ไม่ต้องลงทุนมาก ใส่บาตรวันพระองค์สององค์ หรือเอาข้าวเปลือกข้าวสารใส่ที่เก็บเล็กๆไว้ วันละนิดละหน่อย ตั้งใจว่าข้าวที่เก็บไว้นี้เราจะรวมไว้เมื่อมีมากพอสมควรจะเอาไปถวายเป็นอาหารของพระ อย่างนี้เรียกว่าถวายสังฆทาน ทำอย่างนี้เสมอๆ ขอให้ค่อยๆพิจารณา เมื่อวันเวลาผ่านไปสักปีหรือ 2 ปี จะเห็นว่าผลของทานแม้เล็กน้อยเพียงเท่านี้จะทำให้ความเป็นอยู่เพิ่มพูนขึ้นกว่าปกติมากมีการหาได้คล่องตัวขึ้น ถ้าชาติหน้าจะรวยมหาศาลขั้นมหาเศรษฐีอย่างอนันทเศรษฐีก่อนตายทีเดียว
...............
คัดลอกจากหนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ โดย พระสุธรรมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี