หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเรื่อง "คนเป็นโรคเรื้อนเป็นพระโสดาบัน" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ไว้ดังนี้
ต่อไปนี้ขอนำบุคคลตัวอย่างในพระสูตร ที่ปฏิบัติตนจนเป็นพระอริยเจ้ามาเล่าสู่กันฟัง ทั้งนี้ เพราะพูดแค่ข้อวัตรปฏิบัติอย่างเดียวเข้าใจยาก ถ้าได้อ่านหรือได้ฟังท่านที่ปฏิบัติมาแล้วได้บรรลุมรรคผล จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้นและเป็นเหตุให้ปฏิบัติได้มรรคผลโดยไม่ยากนัก เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังมีดังนี้
ในพระสูตรท่านกล่าวไว้ดังนี้ท่านว่าเมื่อพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภบุรุษผู้เป็นโรคเรื้อนชื่อ "สุปปพุทธะ" เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อท่านสุปปพุทธะถ้าได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุพระโสดาบันปัตติผล หลังจากฟังเทศน์จบพระพุทธเจ้าทรงเข้าพัก ท่านสุปปพุทธะก็กลับกระท่อมที่อาศัย เมื่อท่านสุปปพุทธะเป็นคนขอทานและเป็นโรคเรื้อนด้วย เมื่อพักผ่อนในเวลากลางคืนก็คิดถึงผลที่ตนได้เป็นพระโสดาบันแล้วก็ปลื้มใจคิดในใจว่า ถ้าพระพุทธเจ้าท่านทรงทราบว่าเราเป็นพระโสดาบันท่านคงจะดีใจมาก เพราะเราเป็นคนขอทานด้วยและก็เป็นโรคเรื้อนด้วย ยังสามารถเป็นพระอริยเจ้าได้ พรุ่งนี้เราจะไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ
พอรุ่งเช้าท่านก็ออกจากกระท่อมมหาเสน่ห์เคหาสน์ที่อาศัย เมื่อออกจากกระท่อมไปก็เป็นเวลาเดียวกันกับพระอินทร์ท่านทราบความรู้สึกนึกคิดของท่านสุปปพุทธะ ท่านอยากจะลองสอบความแน่นอนของท่านสุปปพุทธะดูว่าจะมีความมั่นคงทรงความเป็นพระโสดาบันได้จริงหรือไม่ พระอินทร์ท่านก็ไปลอยอยู่ในอากาศใกล้ๆ ท่านสุปปพุทธะที่กำลังเดินไป ท่านแสดงความเป็นพระอินทร์ชัดเจน เมื่อสุปปพุทธะเห็นท่านแล้วพระอินทร์ท่านก็พูดว่า "สุปปพุทธกุฏฐิ แปลเป็นภาษาไทยก็ต้องแปลว่าสุปพุทธะขี้เรื้อน เธอจะไปไหน"
สุปปพุทธะตอบว่า ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อบอกความที่ฉันเป็นพระโสดาบันให้ท่านทราบ ท่านจะได้ดีใจ ที่สามารถสอนคนขอทานที่เป็นโรคเรื้อนอย่างฉัน ให้เป็นพระโสดาบันได้เหมือนคนที่มีร่างกายดีมีทรัพย์
พระอินทร์ ท่านประสงค์ที่จะทดสอบความมั่นคงในความเป็นพระโสดาบัน ท่านก็กล่าวว่า สุปปพุทธะ เธอเป็นคนยากจนไร้ทรัพย์บารมีเธอจงพูดตามนี้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ พอกันทีสำหรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เธอพูดเพียงเท่านี้ไม่ตั้งใจก็ได้ ถ้าเธอพูดตามนี้ ฉันจะบันดาลทรัพย์มหาศาลใช้ไม่รู้จักหมดให้แก่เธอ เธอจะได้เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ไม่มีใครรวยเท่าเธอตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ท่านสุปพุทธะ ฟังจบก็ถามพระอินทร์ว่า ท่านเป็นใคร พระอินทร์ตอบว่า ฉันคือพระอินทร์ สุปปพุทธะก็กล่าวว่า ท่านคนถ่อยคนอันธพาล (คำว่าพาลแปลว่า ทั้งโง่ทั้งบอด คือโง่ด้วยและใจบอดด้วย ใจบอดแย่กว่าตาบอด) ผู้ไม่มียางอายไม่สมควรที่จะมาพูดกับเรา ท่านพูดว่าเราเป็นคนจนเป็นคนขัดสนเป็นคนกำพร้า ความจริงเราไม่ใช่คนจนเราไม่ขัดสนเรามีความสุขเพราะมีทรัพย์มาก ท่านสุปปพุทธะได้บรรยายทรัพย์ที่ท่านมีแล้วคือ อริยทรัพย์ 7 ประการคือ
1. ทรัพย์คือ ศรัทธา ความเชื่อในพระพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
2. ทรัพย์คือ ศีล ที่รักษากาย วาจาใจ ไม่ให้มีโทษ
3. ทรัพย์คือ หิริ ได้แก่ มีความรู้สึกอายในการที่จะทำความชั่วหรืออายชั่วทุกประเภท
4. ทรัพย์คือ โอตตัปปะ ได้แก่เกรงผลของความชั่วเกรงว่าจะให้ผลเป็นทุกข์และเดือดร้อน
5. ทรัพย์คือ พาหุสัจจะ คือการฟังดี ได้แก่การที่ได้ฟังตรงจากพระพุทธเจ้า
6. ทรัพย์คือ จาคะ ได้แก่การคิดให้และตั้งใจให้ด้วยเมตตา ไม่คิดอยากจะคดโกงยื้อแย่งทรัพย์สินของใคร
7. ทรัพย์คือ ปัญญา ไม่หลงกิเลสตัณหา อุปทาน เกินไปรู้จักพอรู้จักยับยั้งหักห้ามไม่ทำความชั่ว ทั้งกายวาจาและคิดทางใจเป็นต้น
ท่านสุปปพุทธะ ท่านยืนยันว่าใครก็ตามหญิงหรือชายได้ทั้งนั้น ถ้ามีอริยทรัพย์ ทรัพย์ประเสริฐ 7 ประการนี้ บัณฑิต คือคนที่มีความรู้ความฉลาดท่านกล่าวว่าเป็นคนไม่ขัดสนไม่ยากจนชีวิตของบุคคลนั้นไม่ว่างเปล่าจากความดีไม่เสียชาติเกิด
เมื่อท่านสุปปพุทธะท่านเทศน์จบ พระอินทร์ท่านก็ไม่รอต่อไป ท่านก็ทิ้งสุปพุทธะให้เดินไปตามสบาย ท่านเองก็เหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อถึงแล้วได้กราบทูลให้พระองค์ทรงทราบถึงเรื่องที่ไปทดลองความมั่นคงของใจท่านสุปพุทธะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าว่าแต่พระอินทร์องค์เดียวเลย ถ้าจะมีพระอินทร์เป็นร้อยเป็นพันองค์ไปพูดให้ท่านสุปพุทธะพูดอย่างนั้น ก็ไม่สามารถให้สุปปพุทธะพูดได้ (ท่านหมายถึง ท่านที่เป็นพระโสดาบันทั้งหมด จะไม่มีใครยอมพูดอย่างนั้นเด็ดขาด)
เป็นอันว่า พอรู้กันได้แล้วว่าพระโสดาบันจริงๆ มีความประพฤติอย่างไรจะได้รู้จักพระโสดาบันที่แท้จริงได้ ถ้าใครเขามาบอกว่าเขาเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป ก็เอาตำรานี้เข้าเปรียบเทียบจะได้รู้เลยว่า ท่านผู้นั้นเป็นพระอริยะหรือไม่ใช่พระอริยะ
หลังจากนั้น เมื่อท่านสุปพุทธะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านมีความรื่นเริงในธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิสันถารแล้วหลังจากนั้นก็ถวายบังคมลากลับขากลับนี่พอออกจากวิหารแล้วไม่นานก็ถูกนางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย
หมายเหตุ สำหรับท่านสุปพุทธะผู้นี้ ตามที่เขียนกันว่าสุปพุทธะเฉยๆ แต่ที่อาตมาเขียน หรือเรียกท่านว่า ท่านสุปปพุทธะนั้น บางท่านอาจจะสงสัยก็บอกเสียเลยว่า ที่เรียกอย่างนั้นเพราะท่านดีกว่าอาตมา ท่านฟังเทศน์ครั้งเดียวเป็นพระโสดาบัน
**กรรมเก่าของท่านสุปปพุทธะ**
ตามพระสูตรท่านกล่าวว่า ท่านสุปปพุทธะถูกนางยักษิณีฆ่าตายนั้น ท่านกล่าวว่าเมื่อชาติก่อนท่านสุปพุทธะกับพี่น้องอีกสามคนรวมเป็นสี่คนทั้งท่าน เป็นลูกมหาเศรษฐี ได้พาหญิงโสเภณีมาร่วมรักในสวนแล้วช่วยกันฆ่าเธอเพื่อเอาทรัพย์สินและเครื่องประดับที่จ้างเธอ เมื่อขณะที่ปรึกษากันเพื่อฆ่าเธอ เธอได้ยินเข้าจึงคิดว่าถ้าเธอต้องตายแล้วชาติต่อไปขอเกิดเป็นนางยักษิณีเพื่อฆ่าล้างแค้น และเธอก็ได้ฆ่าล้างแค้นตามที่จองเวรไว้ได้สมความปรารถนา
เรื่องที่ท่านถูกนางยักษิณีฆ่า พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อพระภิกษุถามถึงเหตุที่ท่านสุปพุทธะถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว พระท่านก็กราบทูลถามถึงเหตุที่เป็นโรคเรื้อนว่ามีผลมาจากอะไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้
ท่านตรัสไว้ว่าสุปปพุทธกุฏฐิ ที่เป็นโรคเรื้อนก็เพราะว่าเมื่อเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีพระนามว่า "พระตครสิขี" เกิดอารมณ์ไม่พอใจถ่มน้ำลายแสดงอาการเหยียดหยามมีเพียงเท่านี้ตายจากชาตินี้ไปเสวยนรกสมบัติ (อ่านว่า นะระกะสมบัติ) คือไปเกิด ในนรกสิ้นกาลนาน เศษของกรรมไล่เบี้ยขึ้นมาตามลำดับ จากนรกมาเป็นเปรต จากเปรตมาเป็นอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน จากสัตว์เดียรัจฉานมาเป็นคนขี้เรื้อน (ที่เขียนมาตามนี้นั้น เขียนตามระเบียบการเสวยผลของความชั่ว)
เมื่อพระภิกษุท่านกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อท่านสุปพุทธะเป็นพระโสดาบันท่านถูกนางยักษิณีขวิดตายแล้วไปไหน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผลที่เป็นพระโสดาบันเธอตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นอันว่าพระสูตรนี้มีคำอธิบายไปในตัวแล้วก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรอีกขอยุติพระสูตรไว้เพียงเท่านี้
.......................
คัดลอกจากหนังสือ วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ โดย พระสุธรรมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี