หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ได้ให้โอวาทธรรมเกี่ยวกับ "เปสการีธิดา" ซึ่งได้ตีพิมพ์ไว้หนังสือ "วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ" โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ไว้ดังนี้
พระสูตรเรื่อง เปสการีธิดา แปลว่า ลูกสาวนายช่างหูก เป็นพระสูตรตัวอย่างของคนที่จะเจริญกรรมฐานด้วยตนเอง โดยฟังคำแนะนำเล็กน้อยแล้วก็ปฏิบัติตาม ใช้เวลาเพียงสามปีก็ได้บรรลุพระโสดาบัน เรื่องมีอยู่ว่า...เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เจดีย์ชื่อว่า อัคคฬวะ ทรงปรารภลูกสาวนายช่างทอหูกคนหนึ่งใจความพิสดารมีอยู่ว่าวันหนึ่งพวกชาวเมือง อาฬวี ได้พบพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแล้ว เขาเหล่านั้นได้พร้อมใจกันอาราธนาสมเด็จพระประทีปแก้วเพื่อถวายทาน เมื่อพระองค์ทรงฉันภัตตาหารแล้วจึงทรงกล่าวอนุโมทนาว่า
ท่านทั้งหลายจงเจริญ มรณานุสสติกรรมฐาน อย่างนี้ (คำว่า มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตาย) ชีวิตของเราไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยงผู้ใดที่ไม่เคยเจริญมรณานุสสติ คือไม่เคยนึกถึงความตาย ครั้นเมื่อคราวที่ความตายเข้ามาถึงย่อมสะดุ้งตกใจกลัว ร้องครวญครางหวาดกลัวจนกว่าจะตาย บางคนร้องไม่ไหว เพราะความป่วยไข้ไม่สบาย ไม่มีกำลังจะร้อง ก็แสดงอาการทุรนทุรายด้วยความกลัวจนกว่าจะตายเหมือนคนที่เห็นงูร้ายที่มีพิษมากจะกัด
ส่วนผู้ที่เจริญมรณานุสสติเป็นปกติคือนึกถึงความตายเสมอมิได้ขาด ด้วยมีความคิดว่า ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุด ไม่สามารถหลีกหนีความตายพ้น และความตายอาจจะเข้ามาถึงเราวันนี้ก็อาจจะเป็นได้ คำว่า เข้ามา หมายความว่า เราอาจจะตายวันนี้ก็ได้ ท่านที่เจริญมรณานุสสติประจำอย่างนี้ย่อมไม่สะดุ้งหวาดกลัว เมื่อความตายจะเข้ามาถึง เพราะเมื่อนึกถึงความตายจะเข้ามาที่ตนทุกคนก็ขวนขวายทำความดี มีการให้ทานรักษาศีลเป็นต้น ทำความดีที่จะช่วยให้มีความสุขเมื่อตายเอาไว้ครบครัน ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงไม่สะดุ้งหวาดกลัวเมื่อความตายเข้ามาถึงคือถึงเวลาจะตาย เหมือนคนที่เดินมาเห็นงูที่มีพิษร้ายแต่ไกลจึงเอาท่อนไม้เขี่ยงูตัวที่มีพิษร้ายให้พ้นทางไป ใจความที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์มีมาอย่างนี้
**ปฏิบัติตามเทศน์ได้คนเดียว**
ตามพระสูตรท่านกล่าวว่า บรรดาท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าในวันนั้นทุกคนฟังแล้วก็แล้วกันไป เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบคนฟังก็จบไปด้วยต่างคนต่างฟังเทศน์ตามประเพณี เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบคนเหล่านั้นไม่ได้นำเอาไปปฏิบัติตามเลย เพราะทุกคนต่างก็แก้ตัวว่ามีงานมาก เพียงแต่จะนึกถึงถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์สั้นนิดเดียวเท่านั้นก็ไม่มีใครคิดถึง
ส่วนลูกสาวนายช่างหูก หรือที่เรียกชื่อว่า เปสการี ขอใช้คำว่า เปสการี แทนคำว่าลูกสาวนายช่างหูก เพราะเรียกง่ายดูเหมือนว่าจะฟังไพเราะกว่า สำหรับ เปสการี วันนั้นเธอมีอายุเพียง 16 ปี เมื่อเธอฟังเทศน์แล้วเธอก็คิดว่า "ธรรมดาถ้อยคำของพระพุทธเจ้ามีความสำคัญมากน่าอัศจรรย์จริงๆ" ต่อนี้ไปเราจะเจริญมรณานุสสติ คือนึกถึงความตายไว้เป็นปกติ เมื่อเวลาจะตายจะได้ไม่หวาดกลัวความตาย จิตจะได้เป็นสุข ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอก็เจริญมรณานุสสติเป็นปกติ ไม่เคยลืมความตาย
ตอนนี้ขออนุญาตอธิบายสักหน่อย อย่าหาว่าพระแก่ขี้บ่นเลยนะ เมื่อใครก็ตามนึกถึงว่าตนจะต้องตายและต่างก็รับทราบกันแล้วว่าตายแล้วไม่สูญ แต่สำหรับท่านที่ว่าตายแล้วสูญเราก็ไม่ว่ากัน เพราะต่างคนต่างตาย ตายคนละคราว สถานที่ตายก็คนละที่ เรื่องนี้ไม่ควรทะเลาะกัน เมื่อทราบว่าตายแล้วไม่สูญ ถ้ากิเลสคืออารมณ์ชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว ยังไม่หมดไปจากตนเพียงใดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดไป ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ต้องถือว่าเฮงมาก เพราะมีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าเกิดในอบายภูมิก็มีแต่ความทุกข์หรือพูดให้คล้ายกันก็ต้องพูดว่า อยู่ร้อนนอนเป็นทุกข์มาเกิดเป็นคนก็หาความสุขจริงไม่ได้
ฉะนั้นท่านที่คิดถึงความตาย จึงหาทางหาความสุขให้ตนเองไว้เผื่อว่าเมื่อความตายเข้ามาถึงจะได้สบายใจ อยากเป็นคนรวยเมื่อเกิดใหม่ก็ให้ทานเข้าไว้ ไม่ต้องให้คราวละมากๆ ให้คราวละเล็กน้อย ให้บ่อยๆพอที่จะให้ได้เท่านี้เกิดใหม่รวยมหาศาล เป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็ได้ตามใจปรารถนา อยากเป็นคนสวยก็รักษาศีลข้อที่1มีเมตตาคือความรู้สึกรักและสงสารเป็นปกติ เกิดใหม่จะสวยหาตัวจับยาก อยากรวยทรัพย์ไม่มีอันตรายจากโจร ไฟ น้ำ ลม ก็รักษาศีลข้อที่ 2 ทรัพย์ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง อยากมีความสุขจากคนในปกครองก็รักษาศีลข้อที่ 3 ในกลุ่มที่อยู่ร่วมกัน มีแต่คนดีเป็นเหตุให้มีความสุข อยากพูดมีเสียงเป็นเสน่ห์ ก็เว้นจากการพูดปด พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดไร้ประโยชน์ เท่านี้วาจาก็จะเป็นมหาเสน่ห์ ใครได้ยินก็ ไม่อยากให้เลิกพูด
แต่ถ้าขืนพูดไม่หยุดคนพูดเลยขาดใจตายไปเลย อยากเป็นคนมีประสาทสมบรูณ์ไม่มีโรคปวดหัว โรคประสาท หรือเป็นบ้าก็ไม่กินเหล้าเมายาคือรักษาศีลข้อที่5 เพียงเตรียมตัวหาสมบัติไว้ใช้เมื่อตายแล้วเพียงเท่านี้ ตายแล้วก็มีความสุขมหาศาล เป็นอันว่าท่านที่เจริญมรณานุสสติ คือคิดรู้อยู่ว่าตนต้องตาย ต่างก็เตรียมหาทรัพย์สินไว้กินเมื่อตาย เมื่อความตายเข้ามาถึงจึงไม่สะดุ้งหวาดกลัว เพราะสมบัติภายหน้ามีมหาศาลแล้ว ขอต่อพระสูตรต่อไป
เมื่อ เปสการี เธอเจริญมรณานุสสติอยู่สามปี มาถึงตอนนี้เธออายุ 19 ปี อยู่มาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูบุญของชาวโลกว่าวันพรุ่งนี้ มีใครไหมที่พระองค์จะทรงโปรดให้เข้าถึงธรรมอย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบัน หรือถ้าไม่ถึงพระโสดาบันในวันนั้น ก็ให้เข้าถึงธรรมคือปฏิบัติในศีลธรรม พอเอาตัวรอดจากอบายภูมิเป็นต้น ได้ทรงเห็นเปสการีเข้าไปอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์ พระองค์ทรงใคร่ครวญดูว่าเป็นเพราะเหตุใดหนอจักมีแก่เธอ ทรงทราบว่าเธอเจริญมรณานุสติมาสามปีแล้ว ตั้งแต่ฟังเทศน์คราวนั้น ถ้าพระองค์จะไปที่นั้นอีก แล้วถามปัญหาให้เธอตอบสี่ข้อ
เมื่อเธอตอบแล้วรับรองว่าเธอตอบถูก แล้วแนะนำเล็กน้อย เธอจะบรรลุมรรคผลเบื้องต้นเป็นพระโสดาบัน และเพราะอาศัยเธอฟังเทศในวันนี้จะมีผลแก่คนฟังจำนวนมาก ตอนนี้ในพระสูตรไม่ยักบอกด้วยว่ามีผลแก่บรรดาคนแก่ขี้ลืมทั้งๆที่ฟังแล้วไม่จำด้วย ท่านที่บันทึกพระสูตรท่านมีมรรยาทดีท่านไม่พูดอย่างนั้น เมื่อท่านไม่พูดคนเขียนก็พูดแทนเสียเลย เพราะประเภทนี้มีเป็นปกติ โลกนี้ถ้าขาดท่านพวกนี้แล้วก็ไม่เหลือกลายเป็นธรรมไปหมด ขอพูดเรื่องพระสูตรต่อไป
เมื่อทราบด้วยกำลังแห่งพระพุทธญาณอย่างนั้นแล้ว จึงเสด็จพร้อมด้วยพระสงฆ์ 500 องค์เป็นบริวาร ออกจากพระเชตวันไปสู่อัคคฬววิหาร เมื่อชาวเมืองอาฬวีทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว ก็พากันไปสู่วิหารทูลนิมนต์แล้ว ชาวเมืองอาฬวีนี้ท่านเห็นพระมาแล้วเมื่อสามปีก่อน จึงได้เห็นอีกวาระหนึ่ง รู้สึกว่าพระสมัยนั้นมีน้อยน่าเห็นใจเหมือนกัน ในเวลาเดียวกัน เปสการี เธอก็ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา เธอก็ตั้งใจจะเฝ้าพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เธอดีใจมากคิดในใจว่าพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดมผู้เป็นพระบิดาผู้เป็นใหญ่ในดวงใจ (ใหญ่มากที่เธอเคารพ ไม่ใช่ในดวงใจที่เธอรัก อย่างที่ชาวโลกเขาพูดกัน) พระองค์ทรงเป็นพระอาจารย์ (ที่มีวงพักตร์เหมือนดวงจันทร์ ) ของเราเสด็จมาแล้วพระพุทธเจ้าที่ผิวพระองค์ขายทองคำที่เราเคยเห็นแล้วเมื่อสามปีก่อน วันนี้จะได้เห็นพระองค์อีก แต่ก็มีอุปสรรค เพราะเมื่อเช้าก่อนที่พ่อไปโรงทอผ้า พ่อบอกว่าวันนี้เมื่อลูกจะเอาอาหารไปให้พ่อ จงกรอด้ายไปให้พ่อด้วย เพราะผ้ากำพลที่กำลังทอจะขาย ในวันนี้มีคนเขาจะมาซื้อวันนี้ด้วย ยังขาดอีกคืบเดียว ได้ทอกำลังจะหมดลูกจงกรอด้ายเอาไปให้พ่อด้วย
เมื่อเธอนึกถึงคำสั่งของพ่อขึ้นมาก็หนักใจ คิดว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าไปหาพ่อก่อนพระพุทธเจ้าอาจจะกลับเสียก่อน การเห็นพระพุทธเจ้าหาได้ยากเต็มที ตั้งสามปีแล้วเพิ่งจะได้พบในวันนี้ จะไปหาพระพุทธเจ้าก่อน การไปหาพ่อก็จะสายเกินไป พ่ออาจจะด่าจะตีเอาก็ได้ เธอจึงตัดสินใจว่าจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อน พ่อจะด่าจะตีก็ตามใจท่านเพราะเราผิด เมื่อตกลงใจตามคิดแล้ว จึงถือกระเช้าด้ายหลอดออกจากที่อยู่ ตั้งใจไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครู
ทางวิหารเมื่อพระพุทธเจ้าทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้วก็ส่งมอบบาตรให้คนที่อยู่ใกล้ถือไว้ แต่ทว่าพระองค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ทรงเทศน์ ด้วยทรงดำริว่าเรามาทางไกล ถึง 30 โยชน์หวังจะโปรดผู้ใด ในเมื่อคนนั้นยังไม่มาเราก็ไม่เทศน์ พอดี เปสการี เธอไปถึง เธออยู่นอกวงที่นั่งกันอยู่ พระพุทธเจ้าทรงมองเธอ เธอทราบว่าพระพุทธเจ้้าทรงต้องการให้เธอเข้าไปใกล้ จึงขออนุญาตท่านผู้ใหญ่ที่นั่งหยุดก่อน จึงขออนุญาตท่านผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ก่อน เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวรในที่ใกล้ เมื่อถึงแล้วนั่งลงนมัสการด้วยความเคารพ เมื่อเธอนั่งเรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วจึงตรัสถามเธอว่า (ตอนนี้เป็นตอนถามตอบ ถ้าใช้ชื่อเต็มจะยืดเยื้้อขอย่อดังนี้ พระพุทธเจ้าตรัสขอให้อักษรย่อว่า "พ." ตอนเปสการีตอบใช้อักษรย่อว่า"ป.")
พ. ทรงถามว่า เธอมาจากไหน
ป. ทูลตอบว่า ไม่ทราบพระพุทธเจ้าค่ะ
พ. ตรัสถามว่า แล้วเธอจะไปไหน
ป. ทูลตอบว่า ไม่ทราบพระพุทธเจ้าค่ะ
พ. ตรัสถามว่า เธอทราบหรือ
ป. ทูลตอบว่า ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า
เมื่อเธอตอบเท่านี้ บรรดท่านผู้ใหญ่เฒ่าแก่และแก่เฒ่าทั้งหลายต่างก็โพนทะนาเอะอะโวยวายกันขึ้นมาพร้อมกันว่า อีเด็กจังไรล้อเลียนพระพุทธเจ้าที่เราเคารพนับถือ เมื่อพระองค์ทรงเมตตาอย่างนั้นน่าจะตอบว่า มาจากเรือนนายช่างหูกและจะไปโรงทอผ้าของพ่อ ดันกลับมาตอแยกับพระพุทธเจ้าที่ชาวโลกเคารพบูชาอย่างนี้ใช้ไม่ได้ (ดูเหมือนท่านทั้งหลายจะว่ามากกว่านี้) แต่องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงยับยั้ง ให้ท่านเหล่านั้นหยุดพูด แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสถามเธอใหม่ สมเด็จพระจอมไตรตรัสถามเธอดังนี้
พ. ตรัสถามว่า ที่คถาคตถามเธอว่าเธอมาจากไหน เธอตอบว่าไม่ทราบนั้นหมายความว่าอย่างไร
ป. เธอทูลตอบพระพุทธเจ้าว่า การที่ฉันมาจากเรือนนายช่างทอหูกนั้น พระองค์ทรงทราบ ด้วยอำนาจพระพุทธญาณแล้ว แต่ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงถามนั้นไม่ใช่หมายถึงการมาจากบ้าน เป็นคำถามถึงว่าเมื่อก่อนมาเกิดในชาตินี้เกล้ากระหม่อมฉันมาจากไหนข้อนี้เกล้ากระหม่อมไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า
เมื่อเธอทูลตอบอย่างนั้นแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงสาธุการว่า "ดีแล้วๆ" หลังจากนั้นสมเด็จพระภควันต์ตรัสถามต่อไปว่า
พ. ที่ตถาคตถามเธอว่าเธอจะไปไหน เธอตอบว่าไม่ทราบนั้นหมายความว่าอย่างไร
ป. เธอกราบทูลว่า ที่ทูลตอบอย่างนั้นก็เพราะหม่อมฉันไม่ทราบว่า เมื่อตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนต่อไปพระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาก็ให้สาธุการอีกเป็นคำรบสอง แล้วถามต่อไปว่าที่ตถาคตถามเธอว่า เธอไม่ทราบหรือ เธอตอบว่าทราบนั้นหมายความว่าอย่างไร
ป. ทูลตอบสมเด็จพระจอมไตรว่า ที่ว่าทราบก็เพราะว่าหม่อมฉันทราบและระลึกอยู่เสมอว่าจะต้องตายพระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาก็ให้สาธุการเป็นคำรบสาม
พ. ตรัสถามต่อไปว่า ที่ตถาคตถามเธอว่า เธอทราบหรือ แล้วเธอตอบว่าไม่ทราบนั้น หมายความว่าอย่างไร
ป. เธอตอบองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ที่หม่อมฉันตอบว่าไม่ทราบก็เพราะว่าไม่ทราบว่าจะตายเมื่อไร ตายกลางคืนหรือตายกลางวันเป็นต้น อย่างนี้ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า แล้วสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงให้สาธุการเป็นวาระที่สี่
เมื่อเธอทูลตอบจบแล้วสมเด็จพระประทีปแก้วจึงตรัสแก่บรรดาชนทั้งหลายที่มาในที่นั้นว่า....(ตอนนี้ขอเรียนคัดสำนวนจากบาลี เพราะเป็นถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสแรงมากหน่อย ถ้าใช้สำนวนของอาตมาจะหาว่าทะเล้นมากไป ท่านตรัสไว้ดังนี้)
พระองค์ตรัสเตือนชาวบ้านทั้งหลายว่า พวกท่านไม่ทราบถ้อยคำที่กล่าวนี้ที่เปสการี เธอกล่าวแล้วมีแต่โพนทะนาแต่อย่างเดียวเท่านั้น เพราะจักษุคือปัญญาของชนเหล่าใดไม่มี คนเหล่านั้นเป็นประดุจคนบอด จีกษุคือปัญญาของชนเหล่าใดมีอยู่ คนเหล่านั้นนั่นแหละเป็นคนมีจักษุคือลูกตา แล้วจึงตรัสเป็นพุทธภาษิตว่า
"สัตว์โลกนี้เหมือนคนบอด ในโลกนี้น้อยคนจะเห็นแจ้งได้ น้อยคนจะไปสวรรค์ เหมือนนกที่หลุดจากข่าย (มีน้อย) ฉะนั้น" เมื่อตรัสจบ เปสการี พร้อมด้วยบรรดาท่านผู้ใหญ่ที่ไม่เอาไหนมาก่อน ต่างก็บรรลุพระโสดาบันกันเป็นแถว
เมื่อเปสการีเธอออกจากที่นั้นไปยังโรงทอผ้า ตอนนั้นท่านผู้เป็นพ่อรอจนสายลูกสาวก็ยังไปไม่ถึงที่นั่งจับฟืมตั้งใจจะกระทบ อีกมือหนึ่งจับกระสวยตั้งใจจะพุ่งหลับคาที่อยู่ตรงนั้นเอง ลูกสาวเข้าไปไม่ทันสังเกตเดินไปกระทบฟืมเข้า เมื่อฟืมไหวตัวพ่อตั้งใจไว้ก่อนหลับว่าจะพุ่งกระสวยก็พุ่งกระสวยโดยตรง กระสวยกระทบฟืมแล้วเลยไปกระทบอกลูกสาวเข้า เธอล้มลงถึงแก่ความตายเดี๋ยวนั้นทันที เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต พ่อเห็นลูกสาวตายก็เสียใจมาก เมื่อจัดการศพแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วปรับทุกข์ให้ท่านฟังและขอบวช ไม่ช้าท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างนักเจริญกรรมฐานให้ถือการปฏิบัติเปสการีเป็นตัวอย่าง ตั้งอารมณ์ทำใจให้เหมือนเด็กสาวอายุ 16 ปีในที่สุดก็จะได้ดีเหมือนเธอ คำอธิบายมีมาในพระสูตรหมดแล้วไม่ขออธิบายต่อยุติพระสูตรไว้เพียงเท่านี้
...............
คัดลอกจากหนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ โดย พระสุธรรมยานเถระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี