สำหรับ "เสือโคร่ง" ของกลางจากวัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน หรือ "วัดเสือ" ต.วังสิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ที่ถูกตรวจสอบและยึดเป็นของกลางโดยกรมป่าไม้ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2544 และมอบหมายให้สัตวแพทย์ (น.สพ.) สมชัย วิเศษมงคลชัย เป็นผู้ดูแลเสือของกลางและฝากเลี้ยงไว้ที่วัดแห่งนี้จากเดิมที่มีเสือของกลางเพียง 7 ตัว และเพิ่มขึ้นเป็น 70 ตัวในปี 2553 กระทั่งปี 2558 ทางวัดมีเสือ 147 ตัว
ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้เข้าตรวจสอบวัดเสือกรณีที่มีผู้แจ้งว่าเสือโคร่งพันธุ์เบงกองได้หายไปจากวัดจำนวน 3 ตัว ชื่อดาวเหนือ เพศผู้ อายุ 7 ปี ,ฟ้าคราม 3 เพศผู้ อายุ 3 ปี และแฮปปี้ 2 เพศผู้ อายุ 3 ปี จากกรณีดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ เข้าดำเนินการตรวจยึดเป็นของกลางและขนย้ายเสือทั้งหมดจากวัดป่าหลวงตามหาบัวฯ หรือวัดเสือ มาดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง และสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี
กระทั่งเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 มีรายงานว่าเสือโคร่งของกลางที่ยึดจากวัดเสือ จำนวน 147 ตัวที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง 85 ตัว ตายไปแล้ว 54 ตัว ส่วนเสือโคร่งอีก 62 ตัวส่งไปดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน จ.ราชบุรี ตายแล้ว 32 ตัว รวมตายทั้งหมด 86 ตัว ทุกตัวล้วนป่วยตายด้วยโรคอัมพาตลิ้นกล่องเสียง 86 ตัวจากของกลางทั้งหมด 147 ตัว
ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า เสือโคร่งที่ตายส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ไซบีเรีย โดยตัวแรกตายวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 และก็ทยอยตายเรื่อยมาจนปีนี้ ซึ่งพบอาการของโรคอัมพาตลิ้นกล่องเสียงในเสือโคร่งของกลางมาตั้งแต่แรกรับมาดูแลแล้ว และได้สรุปข้อมูลส่งกรมอุทยานฯเพื่อรับทราบข้อมูลแล้ว ขณะที่ซากเสือของกลางได้จัดการซากบางส่วนด้วยการแช่ฟอร์มาลีนและฝังตามหลักวิชาการเรียบร้อย
ขณะที่ แหล่งข่าวอีกคนระบุว่า เสือเลี้ยงจะสูญเสียสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่า ถึงแม้การเลี้ยงดู การให้อาหารกรงหรือคอกจะเป็นไปตามมาตรฐานก็ตาม ก็อาจเกิดความเครียดได้ พร้อมยกตัวอย่างกรณีเสือดาวที่คนเลี้ยงไว้ที่บ้านพักลักษณะเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยง เมื่อถูกยึดมาไว้ในกรงจึงเกิดความเครียด ตัวแข็งจนเจ้าของเสือต้องขอมานอนในกรงด้วยหลายเดือนกว่าจะหายเครียด
ต่อมาวันที่ 16 กันยายน 2562 กรมอุทยานฯ ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงกรณีที่มีข่าวเสือโคร่งของกลางป่วยตายเป็นจำนวนมาก โดยนายสุนทร ฉายวัฒนะ หัวหน้ากลุ่มงานเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ชี้แจงว่า ขณะที่เคลื่อนย้ายเสือโคร่งของกลางเป็นการดำเนินการในภาวะไม่ปกติ ทำให้เสือส่วนใหญ่มีภาวะเครียด
ต่อมาพบปัญหาการเจ็บป่วยคือพบว่ามีปัญหาระบบทางเดินหายใจมีอาการหายใจเสียงดังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นอาการอัมพาตลิ้นกล่องเสียง ทำให้การหายใจเข้าออกลำบากเมื่ออาการหนักมากขึ้นจะไม่กินอาหาร และมีอาการชักเกร็งจนทำให้ตายในที่สุด นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อไวรัสไข้หัดสุนัข ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียารักษา หากติดเชื้อจะทำให้เกิดอาการผิดปกติ ในระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร
ด้าน นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน หัวหน้ากลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า เผยว่า ภายหลังตรวจตรวจพบอาการระบบทางเดินหายใจ เกิดจากลิ้นกล่องเสียงมีอาการบวมไม่สามารถขยับ “เปิด-ปิด” ระหว่างหลอดลมกับหลอดอาหารได้สนิท “ทำให้หายใจลำบาก” ยิ่งอุณหภูมิสูงขึ้นจะยิ่งส่งผลต่ออาการเครียดและตายเฉียบพลันได้ เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นผลกระทบจากการผสมพันธุ์แบบเลือดชิด เพราะเสือดังกล่าวมีการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จาก 6 ตัว เป็น 147 ตัว ส่งผลให้เกิดความบกพร่องในพันธุกรรม และระบบภูมิคุ้มกันต่ำ”
จากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นพระวิสุทธิสารเถร (ภูสิต ขันติธโร) หรือหลวงตาจันทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกในเรื่องของเสือของกลางว่า เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างของกรมอุทยานฯ ที่บอกว่า เสือเหล่านั้นน่าจะเป็นโรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นโรคติดต่อ ที่เป็นมาตั้งแต่เอาออกมาจากวัดฯนั้นไม่เป็นความจริง เพราะเชื้อโรคไม่ใช้เวลาฟักตัวนานถึง 3 ปี และที่สำคัญวันที่เจ้าหน้าที่มาทำการขนย้ายเสือออกจากวัดฯ เสือทุกตัวจะมีการตรวจสุขภาพโดยสัตวแพทย์กว่า 40 นาย
ดังนั้น หากมีเสือติดเชื้อหรือเป็นโรค เจ้าหน้าที่จะต้องกล่าวหาวัดตั้งแต่วันนั้นแล้ว นอกจากนี้ “หลวงตาจันทร์” ยังฝากทิ้งท้ายด้วยว่า หากเลี้ยงไม่ได้ก็ให้เอากลับ หรือถ้าไม่สามารถขนย้ายเสือได้ก็ให้นำลูกเสือที่คลอดใหม่มาเลี้ยงที่วัดแทนและจะเลี้ยงให้ดู
เช่นเดียวกับนายอธิธัช ศรีมณี อายุ 50 ปี ผู้จัดการมูลนิธิวัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้พูดถึงกรณีที่ดังกล่าวว่า กรมอุทยานฯพยายามปิดข่าวที่เสือของกลางตายมาตลอด และที่บอกว่าสาเหตุการตายของเสือโคร่งเกิดจากการเพาะพันธุ์ในครอบครัวเดียวกันจนเลือดชิดทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกันตัวเองที่ดีพอนั้น เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างทางวิชาการของกรมอุทยานฯเท่านั้น ซึ่งผิดตั้งแต่เอาเสือไปแล้ว เพราะเสือโคร่งสายพันธุ์ไซบีเรียไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรมอุทยานฯ ไม่ต่างจากสิงโตที่วัดเลี้ยงอยู่ 1 ตัวที่กรมอุทยานฯไม่สามารถเอาไปได้ หรือถ้าหากว่าเป็นเสือโคร่งสายพันธุ์เบงกอล ก็ไม่มีอำนาจเอาไปเช่นกัน ซึ่งเป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง
เมื่อ 3 ปีก่อนที่กรมอุทยานฯมาเอาเสือไป โดยอ้างว่าเสือเป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ดังนั้นจึงอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ แต่วันนี้กลับบอกว่าเสือดังกล่าวเป็นสายพันธุ์ไซบีเรียและโยนความผิดให้กับทางวัดฯ จึงขอชี้แจงว่า วันที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯมาเคลื่อนย้ายเสือ มีสัตวแพทย์ตรวจสุขภาพเสือมากถึง 40 คน แต่กลับโยนความผิดมาให้ทางวัดที่วันนั้นทางวัดไม่มีสัตวแพทย์มาร่วมตรวจ และถ้าเสือติดเชื้อจริงจะต้องออกอาการตั้งแต่ช่วง 2-3 เดือนแรกหลังจากที่มาเอาไปแล้ว ดังนั้น กรมอุทยานฯควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้
ล่าสุดวันที่ 17 กันยายน 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยถึงเรื่องนี้ว่า เสือสายพันธุ์ไซบีเรีย เวลาผสมพันธุ์ภายในสายดีเอ็นเอเดียวกันจะทำให้ภูมิต้านทานของชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นมาอ่อนแอ จึงต้องรอรายงานจากอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชว่าสาเหตุจริงๆ เป็นอย่างไร และตนได้กำชับให้ดูแลจำนวนเสือที่เหลืออยู่ให้ดี ซึ่งที่ผ่านมามีการดูแลกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว และ “เขี้ยวเสือ” ที่เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัวฯ พูดถึงนั้น มันไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นเจ้าอาวาสไม่ต้องเป็นห่วงเพราะตนจะของดูซากและอวัยวะอื่นๆด้วยตัวเองพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะไม่ให้ใครเอาไปทำอะไรได้
ขณะที่ ทางเจ้าอาวาสวัดเสือ ได้เสนอว่า หากทางเจ้าหน้าที่ดูแลไม่ไหวและทางวัดพร้อมรับเสือกลับไปดูแลนั้น ทาง รมว.ทส. บอกว่า เรื่องนี้ยังเป็นคดีความกันอยู่ ถ้าว่าด้วยเรื่องกฎหมายเสือสายพันธุ์ไซบีเรียเป็นเสือที่เขาอยู่ไซบีเรีย การจะมาอยู่เขตร้อนอย่างไทยมันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นว่าเลี้ยงได้หรือไม่ได้ แต่กลายเป็นคดีความแล้ว จึงไม่ขอพูดประเด็นนี้ดีกว่า
แต่ถึงอย่างไรก็ตามสาเหตุการตายของเสือของกลางทั้งหมด 86 ตัวก็ต้องรอผลรายงานจากทางกรมอุทยานฯ สรุปอีกครั้งหนึ่งถึงสาเหตุการตาย แต่มีข้อสงสัยกับสังคมเกิดขึ้นแล้วว่า เหตุใดทางกรมอุทยานฯ จึงไม่มีการแจ้งข่าวการตายของเสียในช่วงที่ผ่านมา เหตุใดจึงได้มีการปกปิดข่าวนี้ไว้จนกระทั่งปูดขึ้นมาเองแล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี