พระกรรมฐานท่านไปภาวนาอยู่ในป่า องค์หนึ่งได้อุบายอย่างหนึ่ง เวลามาคุยกันถึงรู้เรื่องว่า ใครมีสมบัติอะไรๆ เอามาแจกกัน คุยกันนี้จะกี่ชั่วโมงก็ตาม มีแต่เรื่องสมาธิ สมาบัติเรื่องบำเพ็ญในป่าในเขา เรื่องกล้าเป็นกล้าตาย เรื่องอุบายต่างๆ เทวบุตรเทวดา หรืออะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้อง องค์ไหนมีจริตนิสัยอย่างไรๆ ท่านก็ปฏิบัติตามจริตนิสัยของท่าน รู้ตามความสามารถและจริตนิสัยของตนๆ
เช่น ผู้เชี่ยวชาญในทางพวกภูต พวกผี พวกเทวบุตรเทวดา คำว่า "เชี่ยวชาญ" คือว่า ท่านมีเครื่องมือให้รู้ ให้เห็นอยู่ภายในใจท่าน จะไม่ให้ท่านรู้ ท่านเห็นได้ยังไง ก็เหมือนอย่างเครื่องมือแพทย์นั่นแล ในถ้วยน้ำนี้มีเชื้อโรคชนิดไหน มากน้อยเพียงไร เช่น อหิวาต์ เป็นต้น ถ้าเราไม่มีเครื่องมือส่องดูก็มองไม่เห็น กินน้ำนั่นเข้าไปก็ตายได้ เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่าไม่เห็น แต่ขึ้นอยู่กับความมีอยู่ของเชื้อโรคต่างหาก
นี้ก็เหมือนกันเมื่อมีเครื่องมีแล้ว มันทะลุไปหมด จะไม่ให้เห็นได้ยังไง เมื่อสิ่งนั้นๆมีอยู่ เครื่องมือให้เห็นก็มีอยู่ อย่างตาของเรานี้ สำหรับดูให้เห็นมีอยู่ มองไปซี ถ้าไม่ใช่คนตาบอดมองไปไหน มันก็เห็น ปฏิเสธได้ยังไงว่า ไม่ให้เห็น เพราะรูปสีแสงต่างๆ ที่จะให้เห็นมีอยู่
นั่นแหละเรื่องภายในของจิตที่ว่าญาณ หรือญานหยั่งทราบ คือ ตาทิพย์ หูทิพย์ พูดง่ายๆ จะไม่ให้เห็นไม่ให้ได้ยินได้ยังไง ก็สิ่งที่จะเห็นที่จะได้ยินมีอยู่แท้ๆ เช่น รูปเข้ามาเกี่ยวข้องตาเป็นผู้ที่คอยจะเห็นพร้อมที่จะรู้จะเห็นจะได้ยินอยู่แล้ว อะไรผ่านเข้ามาทางสายตาปั๊บก็เห็นทันที ทันทีที่อยู่ในวิสัยของตาจะเห็นได้ ฟังได้นิสัยของญาณวิถีก็เหมือนกันใครมีความเชี่ยวชาญในทางไหนท่านจะรู้จะเห็นของท่านในทางนั้น โดยไม่ขึ้นอยู่กับผู้ใดจะมาคัดค้านต้านทานเลย
เช่น หลวงปู่มั่น ใครจะไปเชี่ยวชาญยิ่งกว่าท่านในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านพูดธรรมดาๆ นะ พูดถึงเรื่องพวกเปรต พวกผี พวกเทวบุตรเทวดา ท่านพูดธรรมดาๆ โน่นเวลามีลูกศิษย์ลูกหาที่มีความรู้ใกล้เคียงกันกับท่าน ถึงความรู้ความฉลาดจะไม่เต็มตัวเหมือนท่าน ไม่ได้มากมายกว้างขวางอย่างท่านก็ตาม แต่ก็พูดกันรู้เรื่องกันในสิ่งเหล่านี้ เวลาท่านคุยกัน ผู้ฟังก็เพลินล่ะสิเพราะเรื่องทำให้เพลิน
เพราะการปฏิบัติธรรม ก็เหมือนเราหารายได้จากงานต่างๆ นั่นแล คนนี้หาทางนี้ คนนี้หางานนี้ผลได้เป็นตัวเงินเลี้ยงครอบครัวอัตภาพร่างกายให้สำเร็จประโยชน์ได้ ก็จัดว่ามีผล งานของพระกรรมฐานของผู้บำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน ผู้นี้บำเพ็ญหนักไปทางนี้ ผู้นั้นบำเพ็ญหนักไปทางนั้น ผลรายได้ก็คือสมบัติ เรียกว่าธรรมสมบัติ เหมือนกับผลรายได้ของเรา คือเงินจากงานแขนงต่างๆนั่นเอง
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งทั้งหลายที่กล่าวเหล่านี้มีอยู่ ทำไมจะไม่ให้รู้ให้เห็น ถ้าอยู่ในวิสัยของท่านจะควรรู้เห็น จำต้องรู้เห็นอยู่โดยดี พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนสิ่งที่เป็นโมฆะแก่โลกนะ สอนสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้นแก่โลกเป็นแต่เพียงว่า โลกยังไม่สามารถรู้ได้เห็นได้ตามท่านเท่านั้น จึงเหมือนสิ่งเหล่านั้นไม่มี แต่เมื่อปฏิบัติตามนั้นแล้ว จริตนิสัยของใครที่จะเจออย่างไร ต้องเจออย่างที่ว่านี้ ไม่มีทางเป็นอื่น
ถ้าเราอยากรู้อยากเห็น ดังที่ท่านสอนไว้ ก็พากันตั้งใจปฏิบัติตามท่านบ้าง ดีกว่าหลับหูหลับตาอยู่เปล่าๆ และนำความมืดบอดของตนมาลบล้างต้านทานธรรมที่ท่านสอนไว้ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นไหนๆ ต่อไปน่ากลัวชาวพุทธเราจะเป็นคู่แข่งธรรมของจริงที่ทรงสั่งสอนไว้ด้วยพระเมตตาสุดส่วน ว่าเป็นของปลอม เป็นโมฆะ ไม่จริงตามที่ประกาศสอนไว้ไม่อาจสงสัย เพราะลวดลายแห่งการต่อสู้การลบล้างธรรม ดูว่านับวันหนาแน่นขึ้นทุกวัน เวลา จากกิริยาแห่งความเคลื่อนไหวของพวกเราชาวพุทธ หรือชาวดีแต่พูดก็สุดจะเดาได้ถูก
..............
คัดลอกจากหนังสือ "เทวดา" หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี