พลังแห่งกุศลผลทานที่เราสร้างไว้นี่แหละที่ตอบสนองเรา ไม่ใช่เทวฤทธิ์บันดลบันดาลมาจากที่ไหน
"...วิบากคืออะไร ผลแห่งบุญที่เราเคยทำไว้นี้ แม้ในปัจจุบันที่เราได้บรรลุธรรมถึงขั้นสุดแล้ว วิบากอันนี้ก็จะปฏิเสธไม่ได้ ที่เราเคยทำมา จะต้องตามสนองโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงวันนิพพาน ยกตัวอย่างเช่น พระสีวลี ในศาสนาของพระพุทธเจ้านี้ ไม่มีใครที่จะเลิศยิ่งกว่า พระสีวลี ในการที่มีอติเรกลาภมากที่สุด รองพระพุทธเจ้าลงมาก็คือพระสีวลี จึงได้ยกเป็นเอตทัคคะ พระพุทธเจ้าประทานเอตทัคคะให้ ในความเลิศทางมีลาภสักการบูชา ไม่มีใครเสมอเหมือน นี่คือวิบาก ผลแห่งบุญของท่านที่เคยสร้างไว้แล้วตั้งแต่กาลก่อน
แม้จะเป็นพระอรหันต์จิตท่านจะปล่อยวางแล้วตาม วิบากเหล่านั้นก็ยังต้องตามมา ด้วยอำนาจแห่งผลบุญท่านเคยสร้างไว้แล้ว ไปไหนมีแต่คนสักการบูชา เทวบุตรเทวดาตามตำราท่านบอกไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าแต่มนุษย์แม้แต่เทวดาก็ยังมาสักการบูชา ด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ นั่นเป็นอย่างนั้น บางองค์แม้จะเป็นพระอรหันต์ด้วยกันก็ตาม เดินทางไปด้วยกัน อันนี้จะไม่ค่อยมีใครสนใจอะไรมากนัก เรื่องจะทำบุญให้ทาน เรื่องเกี่ยวกับเรื่องอติเรกลาภ ทำไมท่านก็เป็นพระอรหันต์ ก็ทราบอยู่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ไม่ทราบ แต่เรื่องความแตกต่างกันก็เห็นอย่างชัดเจน ตามอัธยาศัยหรือนิสัยของผู้ที่เคยสร้างมาอย่างไรบ้าง นั่น จำเป็นต้องอาศัยกันไปอย่างนี้
ไม่สูญหายไปไหน แม้จะสิ้นกิเลสอาสวะความยึดความถือโดยประการทั้งปวงทั้งบุญและบาปแล้ว บุญก็ยังต้องตามสนอง หากตามสนองได้ภายในขันธ์ ไม่สามารถที่จะซึมซาบเข้าถึงจิตใจให้ยินดียินร้ายเกิดโทษเกิดภัยขึ้นมาภายในใจได้ ผิดกันตรงนี้ที่เรียกว่า ขึ้นถึงที่สุดจุดหมายปลายทางแล้วหรือขึ้นถึงที่ต้องการแล้ว บันไดกับเราก็หมดปัญหากันไปเอง บุญและบาปที่เกี่ยวข้องกับใจก็หมดปัญหากันไปเอง เป็นว่าขาดวรรคขาดตอนกัน ส่วนวิบากที่จะตามธาตุตามขันธ์ไปนั้นมี จนกระทั่งวันนิพพาน ก็เป็นอันว่าหมดปัญหากันโดยประการทั้งปวง แม้แต่ขันธ์ก็หมดปัญหากันไป
การสร้างความดี รวมเข้าไปสู่ที่ใจทั้งหมด จะจำได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ลบไม่สูญก็คือการทำบุญ ทำบาป มีความติดแนบอยู่ภายในจิตใจ ไม่สำคัญอยู่ที่ความจำ ให้พากันเข้าใจ และพยายามสร้างจิตของเราให้มีสารคุณขึ้นภายในตัว ความสงบเย็นใจ ความผาสุกสบาย จะเกิดขึ้นมีขึ้นโดยลำดับ ด้วยอำนาจแห่งกุศลผลทานของเรา เวลาจนตรอกจนมุม แทนที่จะไม่มีอะไรเป็นเครื่องตอบสนองแก้ขัดแก้จน มันก็เกิดขึ้นมาจนได้ เพราะอำนาจแห่งกุศลนี้แหละไม่ใช่อำนาจอะไร กุศลที่เราสร้างไว้นี้เอง ไม่ใช่จะเทวฤทธิ์บันดลบันดาลมาจากที่ไหน ก็เทวฤทธิ์ของใจของเราที่เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง ที่สามารถให้ทานรักษาศีลภาวนาได้นี้แหละเป็นเครื่องบันดาลให้เราได้เห็นประจักษ์กับตัวของเราผู้สร้างเสียเอง การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร จึงขอยุติเพียงเท่านี้..."
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน จากธรรมเทศนา “กายคัมภีร์ จิตคัมภีร์” วันที่ 13 สิงหาคม 2519 ณ วัดป่าบ้านตาด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี