- ว่าด้วยคนเร่ร่อน : คนเร่ร่อนหรือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะถือเป็นคนไร้บ้าน (Homeless) กลุ่มใหญ่ที่สุดที่สามารถพบเห็นได้ในสังคม “คนเหล่านี้มีสถานะความยากลำบากมากกว่าผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัดซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ต่ำกว่ามาตรฐานการอยู่อาศัยตามควร” ไม่ว่าจะเป็นชุมชนแออัดปกติ (Slums) หรือชุมชนแออัดประเภทบุกรุก (Squatter Settlements) ทั้งนี้เพราะอย่างน้อย “ผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัดยังมีที่ซุกหัวนอน (Shelter) แต่คนเร่ร่อนไม่มีที่พักอาศัย” แต่มักเร่ร่อนไปตามท้องถนน หรือปักหลักอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง
คนเร่ร่อนมีหลายจำพวก ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีจนขาดที่อยู่อาศัย ออกมาเร่ร่อน บ้างก็มีปัญหาในครอบครัวจึงออกมาเร่ร่อน ซึ่งมีทั้งผู้สูงวัย เด็กเร่ร่อนที่สุ่มเสียงต่อการไปสู่การกระทำผิด (Juvenile Delinquent) บ้างก็ออกมาเป็นครอบครัวเร่ร่อน (Nomadic) แต่พบเห็นได้น้อยมากและเป็นสถานะชั่วคราว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ค้าบริการทางเพศ ผู้ที่ (พลัดหลง) ในระหว่างการเดินทางมาจากต่างจังหวัด เป็นต้น
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีกลุ่มแรงงานข้ามชาติ หรือแม้แต่ชาวตะวันตกที่เร่ร่อนอยู่ตามทางบ้าง แต่พบเห็นน้อยมากและมักเป็นสถานะชั่วคราวเช่นกัน คนเร่ร่อนและอยู่ข้างถนนมานานย่อมมีความผิดปกติทางสภาพจิตใจไม่มากก็น้อย ที่สำคัญ “อายุขัยของคนเหล่านี้ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับบุคคลทั่วไปที่มีอายุขัย 75.1 ปี” ผมเชื่อว่าคนเร่ร่อนไทยอาจมีอายุขัยไม่ถึง 50 ปี อย่างไรก็ตามในกรณีสหราชอาณาจักร ผลสำรวจล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2561 พบว่าคนเร่ร่อนอังกฤษมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 44 ปีเท่านั้น
ขอทานในประเทศไทย
ที่มา : http://theworldandhistuktuk.co.uk/the-dilemma-of-bangkoks-beggars/
- คนเร่ร่อนกับขอทานแตกต่างกัน : คนเร่ร่อนแตกต่างจากขอทานโดยสิ้นเชิง “ค่าเฉลี่ยของรายได้ของขอทานรายหนึ่งเป็นเงินประมาณ 2,000-5,000 บาทต่อวัน รายได้ต่ำสุดที่ได้คือ 500 บาท” ขอทานที่มีรายได้สูงจะทำตัวให้สกปรกที่สุด น่าสงสารเวทนาเป็นที่สุด หาก (แสร้ง) ทำแผลให้เหวอะหวะ (โดยใช้ถุงน่อง) หรือแสร้งแสร้งทำแขนหรือขาด้วนด้วยแล้ว ยิ่งมีรายได้สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงพบขอทานเกลื่อนเมืองโดยเฉพาะในเขตใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานครนั่นเอง
หากสมมติว่ามีขอทานเฉพาะในกรุงเทพมหานครประมาณ 5,000 ราย รายหนึ่งมีรายได้ประมาณ 1,000 บาทต่อวัน ก็จะมีรายได้รวม 5,000,000 บาทต่อวัน หรือปีละ 1,825 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกรณีที่น่าสนใจก็คือ “ลุงเอี่ยม” ขอทานพิการในวัดไร่ขิง ที่ปรากฏว่าแต่ละปีบริจาคเงินให้วัด 1-4 แสนบาท แต่ปีล่าสุดบริจาคให้ถึง 1 ล้านบาท และตนเองยังมีเงินในบัญชีธนาคารหลายแสนบาท เป็นต้น
เมื่อเทียบกับรายได้ของคนขับแท็กซี่ โดยเฉลี่ยก็ได้ประมาณ 500 บาท มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้ประมาณ 500 บาท แม่ค้าหาบเร่ที่ผมพบบริเวณถนนอโศก ก็ได้เงินราววันละ 500 บาทเช่นกัน ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทยก็ประมาณ 300 บาท (ตอนรัฐบาลจะขึ้นให้คนงาน บางคนยังหมั่นไส้หาว่าสูงเกินไปเสียอีก) “ลูกจ้างชั่วคราวตามหน่วยราชการ ก็มีรายได้ต่อวันต่ำกว่าขอทานเสียอีก” แต่ไม่แน่ว่าคนเหล่านี้นี่เองที่เป็นผู้ใจบุญให้เงินขอทานบ้างก็ได้
- สถานการณ์คนเร่ร่อน : ในเมืองใหญ่ๆ มักมีคนเร่รอน ซึ่งเป็นคนชายขอบของสังคม ไม่ว่าจะเป็นในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น แม้แต่ในใจกลางเมืองยะลา ซึ่งเป็นเมืองที่มีปัญหาความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ ผมก็ยังเคยพบคนเร่ร่อนที่นอนอยู่ข้างถนนหรือตามทางเท้าหน้าบ้านชาวบ้านทั่วไปในเขตใจกลางเมือง ดังนั้น “ปรากฏการณ์คนเร่ร่อนจึงอยู่กับกับเมืองต่างๆ เพราะเป็นแหล่งที่สามารถหาอาหารได้ง่ายกว่าอยู่ชนบท” โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีทุนคือบ้านและที่ดินของตนเอง
ผลการสำรวจของ มูลนิธิอิสรชน พบว่า ในปี 2562 มีจำนวนคนเร่ร่อนอยู่ทั้งหมด 4,392 คนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร โดยเพิ่มขึ้นกว่าปี 2561 ประมาณ 10% “อันที่จริงอัตราเพิ่มของจำนวนคนเร่ร่อนค่อนข้างน้อย “ในช่วงปี 2556-2559 คือเพิ่มขึ้นประมาณ 2.8%-3.5% เท่านั้น แต่หลังจากปี 2560 เป็นต้นมา ปรากฏว่าอัตราเพิ่มของคนเร่ร่อน เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเป็น 5.1%, 10% และ 10% โดยตลอด กรณีนี้แสดงว่าในช่วง 3 ปีหลังที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยถดถอยลง” ไม่ได้ดีตามตัวเลขที่เป็นทางการ จึงทำให้คนเร่ร่อนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นเด่นชัด
รายได้ต่อครัวเรือนต่อเดือนในกรุงเทพมหานครในปี 2556 อยู่ที่ 49,191 บาท เทียบกับรายได้ในปี 2561 ที่ 45,779 บาทนั้น ปรากฏว่าลดลงประมาณ 7% ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจที่รายได้ของครัวเรือนแทนที่จะเพิ่มขึ้น แต่กลับลดต่ำลงไปกว่าเดิมอีก และยิ่งเมื่อนำตัวเลขเงินเฟ้อของกรุงเทพมหานครมาปรับค่าเงิน จะพบว่า รายได้ต่อครัวเรือนต่อเดือนในปี 2561 ลดลงเป็นเงิน 33,060 บาท ในขณะที่รายได้ปี 2556 เป็นเงิน 36,549 บาท ตามราคาคงที่ปี 2545 ซึ่งเท่ากับรายได้สุทธิลดลงถึง 10% (เมื่อหักเงินเฟ้อแล้ว)
อย่างไรก็ตาม “จำนวนคนเร่ร่อนในกรุงเทพมหานครยังน้อยกว่าอีกหลายประเทศ” เช่น นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีประชากร 8.5 ล้านคน แต่มีคนเร่ร่อนถึง 63,000 คน หรืออาจากล่าวได้ว่ามีคนเร่ร่อน 1 คนในจำนวนประชากร 135 คน แต่สำหรับในกรุงเทพมหานคร มีประชากร 5.7 ล้านคน มีคนเร่ร่อน 4,392 คน หรือจะพบคนเร่ร่อน 1 คนจากประชากร 1,298 คน ซึ่งยังนับว่าน้อยมาก
การคาดการณ์จำนวนคนเร่ร่อนในกรุงเทพฯ
- การคาดการณ์แนวโน้มคนเร่ร่อน : ในขณะนี้ ณ ปี 2562 มีคนเร่ร่อนอยู่ 4,392 คน ในช่วงปี 2556-2562 อัตราเพิ่มของประชากรคนเร่ร่อนอยู่ที่ 5.75% โดยเฉลี่ย หากใช้อัตรานี้เป็นเกณฑ์ “พอถึงปี 2575 หรือในอีก 13 ปีข้างหน้าซึ่งเป็นปีแห่งการครบรอบร้อยปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย จำนวนคนเร่ร่อนน่าจะสูงถึง 9,085 คน หรือเท่ากับเพิ่มขึ้น 2.07 เท่าจากตัวเลขปัจจุบัน” แม้ตัวเลขจะไม่มากนัก แต่สิ่งที่พึงตระหนักก็คือ จำนวนการเพิ่มขึ้นของคนเร่ร่อนน่าจะสูงกว่านี้
แต่อัตราเพิ่มสุทธิอาจไม่เปลี่ยนมาก เพราะอายุขัยของคนเร่ร่อนค่อนข้างสั้น จึงมีจำนวนคนเร่ร่อนตายจากไปมากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม “โดยที่จำนวนคนเร่ร่อนเพิ่มสูงขึ้นมากในรอบ 3 ปีล่าสุดที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลังเพิ่มขึ้นถึง 10% ต่อปี มีความเป็นไปได้ที่ปี 2563 อัตราเพิ่มของคนเร่ร่อนอาจมากกว่า 10% ก็เป็นได้” โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจของประเทศยังไม่ดีเท่าที่ควร และก็มีแนวโน้มว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต่ำมากในปี 2562 และ 2563 ดังนั้นจำนวนคนเร่ร่อนจึงน่าจะเพิ่มขึ้น
หากใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราเพิ่มในรอบ 3 ปีหลัง ณ ค่าเฉลี่ย 8.33% มาปรับใช้กับสำหรับในอีก 13 ปีข้างหน้า คือปี 2575 ซึ่งเป็นปีครบร้อยปีคณะราษฎร จำนวนคนเร่ร่อนก็น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 12,420 คน ในขณะนั้นจำนวนประชากรกรุงเทพมหานครอาจเพิ่มขึ้นเป็น 6.45 ล้านคน (ณ อัตราเพิ่มที่ 1% ต่อปี) ก็จะทำให้สัดส่วนคนเร่ร่อนเป็นทุก 1 คนต่อประชากรกรุงเทพมหานคร 519 คน แทนที่จะเป็น 1 ต่อ 1,298 คน เช่นในปี 2562
สถานการณ์สังคมสูงวัย
ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- ทิศทางสู่ผู้สูงวัยเร่ร่อน : ในขณะนี้ประชากรผู้สูงวัยไทยมีอยู่ 11.03 ล้านคน เทียบกับจำนวนประชากรไทยที่ 66.4 ล้านคน หรือเป็นสัดส่วนประมาณ 16.6% แต่ในปี 2575 คาดว่าประชากรสูงวัยน่าจะสูงถึง 25% ของจำนวนประชากรทั้งหมด (ปี 2571 ประมาณ 23.5%) จึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้สูงวัยจะออกมาเร่ร่อน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ต่างจากในช่วงปี 2525 อันเป็นปีที่ 50 ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในช่วงนั้นคนเร่ร่อนจำนวนมากน่าจะเป็นเด็ก
“โดยที่เศรษฐกิจของไทยอาจมีปัญหาตามที่คาดการณ์ไว้ เงินบำเหน็จบำนาญอาจไม่พอเพียงสำหรับการอยู่อาศัยตามปกติสุข โอกาสที่ผู้สูงวัยจะต้องออกมาเป็นคนเร่ร่อนจึงจะมีมากขึ้น โอกาสการกลายเป็นขอทานก็มีเช่นกัน แต่ก็คงสู้กับมืออาชีพจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้” และการทำใจเป็นขอทานคงทำใจได้ลำบากสำหรับผู้สูงวัยไทยที่มีสถานภาพการอยู่ที่ค่อนข้างดีกว่าขอทานมืออาชีพมาเกือบตลอดช่วงชีวิต
“กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)” เจ้าภาพหลักดูแลงานด้านสวัสดิการสังคม
- การแก้ปัญหาคนเร่ร่อน : ผมเห็นว่านโยบายการจัดระเบียบเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น ยังไม่สามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาได้ “การจัดระเบียบเมืองให้สวยงาม เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรที่จะปฏิบัติเพื่อการแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อนอย่างเป็นระบบด้วย การไล่คนเร่ร่อนให้พ้นไปจากเกาะรัตนโกสินทร์โดยไม่มีการจัดการที่เหมาะสม ทำให้เกิดการแพร่กระจายคนเร่ร่อนและอาจสร้างปัญหาเพิ่มเติม” ทางราชการควรจัดหาที่อยู่อาศัยให้คนเร่ร่อนเพื่อหวังพวกเขาสามารถปรับตัวเข้าสู่สังคมปกติได้ ไม่ใช่ให้พวกเขาอยู่ในบ้านพักอย่างถาวร
การที่จำนวนคนเร่ร่อนของกรุงเทพมหานครยังไม่มากนัก สถานการณ์คนเร่ร่อนในกรุงเทพมหานครจึงยังไม่เลวร้ายนัก ปัญหานี้จึงจัดการได้ (Manageable) ไม่เหลือบ่ากว่าแรง และสามารถที่จะแก้ไขได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตามในประเทศไทยคงไม่มีหน่วยราชการใดที่จะช่วยเหลือคนเร่ร่อนได้เท่าที่ควร เพราะมีงบประมาณจำกัด อย่างเช่น “ในปี 2563 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีงบประมาณอยู่เพียง 21,281 ล้านบาท” ในขณะที่งบประมาณแผ่นดินโดยรวมอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท
แสดงว่า “งบประมาณของ พม. มีสัดส่วนเพียง 0.66% ของงบประมาณแผ่นดิน การที่รัฐบาลเจียดงบประมาณให้กับสวัสดิการสังคมน้อย คนเร่ร่อนจึงไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร” จะเห็นได้ว่าสวัสดิการสังคมต่างๆ มีจำกัดมาก ในจำนวนสถานสงเคราะห์ 324 แห่งทั่วประเทศ ที่สามารถบริจาคและหักลดหย่อนภาษีได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นของภาคเอกชน ส่วนหนึ่งไม่ได้เกี่ยวกับสวัสดิการสังคมโดยตรง
ในส่วนที่เกี่ยวข้องประมาณ 200 แห่งนั้น ก็ไม่สามารถรับคนเร่ร่อนหรือผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ ได้มากนัก หรือแทบจะรับใหม่ไม่ได้มากนักในแต่ละปี จึงไม่อาจให้บริการได้ทั่วถึง ผมจึงเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีคนเร่ร่อนไม่มากนัก สมมติ ณ ระดับที่ 4,000 คน หากต้องการทำให้คนเร่ร่อนหมดไป สามารถทำได้ไม่ยาก โอกาสที่จะกลับมาเร่ร่อนใหม่ก็จะจำกัด
“ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขอาจเป็นเงินคนละ 500 บาทต่อวัน โดยแยกเป็นค่าใช้จ่ายด้านอาหาร ที่พักชั่วคราว การประกอบอาชีพ การพัฒนาอาชีพ การจัดหางาน ฯลฯ หรือเป็นเงินปีละ 730 ล้านบาท หรือเป็นมูลค่าสำหรับการแก้ไขทั้งระบบ ณ อัตราคิดลด 8% เป็นเงิน 9,125 ล้านบาท จะเห็นได้ว่างบประมาณปีละ 730 ล้านบาทนี้ยังมีเพียงสัดส่วนเพียง 1% ของงบประมาณแผ่นดินของกรุงเทพมหานคร ดังนั้นถ้ากรุงเทพมหานครเจียดเงินมาดูแลสังคมมากกว่านี้ ปัญหาคนเร่ร่อนก็จะหมดไปได้อย่างง่ายดาย”
โดยสรุปแล้วการแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อนที่มีอยู่จำนวนไม่มากนักในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น สามารถทำได้ไม่ยากนัก เพราะคนเร่ร่อนในประเทศไทยยังมีจำนวนไม่มาก หากรัฐบาลจัดงบประมาณเพื่อการนี้ และได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ปัญหานี้ก็สามารถได้รับการแก้ไขเพื่อจรรโลงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนเร่ร่อนหรือผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
อย่าให้เกิดการบีบคั้นจนสังคมมีคนเร่ร่อนเต็มไปหมด!!!
โสภณ พรโชคชัย
ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัย
และประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย (AREA)
และประธานกรรมการมูลนิธิอิสรชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี