อลังการกลางน้ำโขง! 7หมื่นคนเนืองแน่นงานไหล‘เรือไฟ’ ตระการตาสมการรอคอย
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 6-14 ตุลาคม 2562 รวม 9 วัน 9 คืน โดยเฉพาะวันที่ 13 ตุลาคม ตรงกับวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันไหลเรือไฟอันเป็นพิธีกรรมที่พุทธศาสนิกชนชาวอีสานยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ
โดยมีความเชื่อว่าการไหลเรือไฟเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระองค์ไปแสดงธรรมในพิภพของนาคในเมืองบาดาล รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาพญานาคในลำแม่น้ำโขง การระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา การขอขมาลาโทษต่อแม่น้ำและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในแม่น้ำ เพื่อปกปักรักษาบ้านเมือง ประชาชน ให้มีความสงบร่มเย็น ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และขอให้มีโชคลาภ การทำมาหากิน ให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
สำหรับเมื่อคืนวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม เนืองแน่นไปด้วยผู้คนประเมินด้วยสายตากว่า 7 หมื่นคน ต่างจับจองพื้นที่เพื่อรอชมเรือไฟจาก 12 อำเภอ จำนวน 13 ลำ เริ่มจากมีการปล่อยกระทงสาย หรือไข่พญานาค จำนวน 12,000 ดวง
กระทั่งเวลา 19.30 น. ณ เวทีพาข้าวแลง(กินข้าวเย็น) นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวรายงานต่อนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 และส.ส.นครพนม เขต1 โดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา(สว.) นางมนพร เจริญศรี สส.นครพนม เขต 2 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ สส.นครพนม เขต 4พล.ต.สามารถ จินตสมิทธิ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 210(มทบ.210) ดร.สมชอบ นิติพจน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม(อบจ.ฯ) นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฯ หัวหน้าส่วนราชการ ร่วมในพิธีเปิดการไหลเรือไฟอย่างเป็นทางการ
จากนั้นเรือไฟลำแรกจากอำเภอนาหว้า ขนาดความยาว 55 เมตร ใช้ตะเกียง 9,000 ดวง ก็ได้อวดโฉมกลางแม่น้ำ ตามด้วยเรือไฟอำเภอศรีสงคราม ความยาว 70 เมตร ใช้ตะเกียง 20,000 ดวง ส่งประกวดในประเภทความคิดสร้างสรรค์ อดีตเคยครองแชมป์มาแล้ว 3 ปีซ้อน ปีที่แล้ว(2561) พลาดท่าถูกเรือไฟจากอำเภอนาแกเฉือนชนะไป ถึงเรือไฟลำที่สามเป็นของอำเภอโพนสวรรค์ ขนาดความยาว 80 เมตร ใช้ตะเกียง 25,000 ดวง ส่งประกวดประเภทสวยงาม และจากประวัติการประกวดเรือไฟของจังหวัดนครพนม เรือไฟของอำเภอโพนสวรรค์ครองแชมป์ถ้วยพระราชทานถึง 22 ครั้ง หรือ 22 ปี จนได้ฉายาแชมป์ตลอดกาล แต่ตั้งแต่ปี 2560 ถูกเรือไฟจากอำเภอเมืองนครพนม แย่งตำแหน่งแชมป์ประเภทนี้ไปครอง 2 ปีซ้อน ครั้งนี้มีคาดหวังที่จะทวงบัลลังก์คืน
เรือไฟที่ชาวจังหวัดนครพนม และนักท่องเที่ยวต้องการชมมากที่สุด คือ เรือไฟของอำเภอเมืองนครพนม และเรือไฟอำเภอท่าอุเทน ซึ่งจะลอยลำโชว์ความงดงามท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เป็นลำที่ 7 และ 8 ตามลำดับ แต่เดิมเรือไฟอำเภอเมืองนครพนม มีความยาว 110 เมตร สูง 30 เมตร ส่วนเรือไฟอำเภอท่าอุเทน ยาว 82 สูง 25 เมตร ทั้งสองลำส่งประกวดในประเภทความสวยงาม แต่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม เกิดลมกรรโชกแรงพัดเรือไฟทั้งสองอำเภอที่สร้างซุ้มอยู่ติดกันพังยุบลงมา มีความเสียหายหมดทั้งลำ จนต้องระดมสรรพกำลังมาช่วยกู้เรือไฟให้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาลอยได้อีกครั้ง ซึ่งเรือไฟทั้งสองไม่ทำให้ผิดหวัง แม้ขนาดความยาวและสูงจะลดลง แต่ความสวยงามไม่ลดลงไปด้วย จึงเรียกเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากผู้ชมที่ริมฝั่ง ซึ่งเรือไฟท่าอุเทนก่อนจะออกจากท่า โชว์ความงามเกิดไฟไหม้ไม้ไผ่โครงสร้างเสียหายเล็กน้อย ลูกทีมสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้
สำหรับกติกาการจัดทำเรือไฟเพื่อส่งเข้าประกวด ไม่ได้จำกัดรูปทรง ใช้เทคนิคประกอบการมองภาพ 2 หรือ 3 มิติ ถ้าเป็นภาพเคลื่อนไหว ใช้เทคนิคในการตกแต่งไฟประดับได้ เช่น ดอกไม้เพลิง ตะไล ไฟพะเนียง แต่งดยิงพลุขึ้นฟ้าที่อาจเกิดเสียงดังมากๆ เนื่องจากตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 และต้องเป็นเรือไฟที่ใช้ประทีปโคมไฟ เช่น ตะเกียง ขี้ไต้ กระป๋องบรรจุน้ำมัน เน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเรือไฟทุกลำมีเนื้อหาที่เป็นการส่งเสริมสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น เอกลักษณ์ท้องถิ่นหรือความคิดสร้างสรรค์ ที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมประเพณีและศีลธรรมปรากฎอยู่บนเรือไฟ
ส่วนรุ่งเช้าวันที่ 14 ตุลาคม 2562 จะเป็นวันตักบาตรเทโว ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากเทศนาอภิธรรมปิฎกโปรดพุทธมารดา นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองนครพนม ได้จัดราชรถและคนแต่งกายชุดเทวดา จัดขบวนรถทรงหรือคานหามพระพุทธรูป เพื่อชักนำหน้าพระสงฆ์ในการรับบาตร บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช ริมแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานประเพณีไหลเรือไฟและงานกาชาดจังหวัดนครพนม ประจำปี 2562 สิ้นสุดเทศกาลวันออกพรรษาย่างเข้าสู่ฤดูกฐิน หลังจากนี้เกษตรกรชาวนาก็จะลงนาเก็บเกี่ยวข้าวซึ่งเป็นอาชีพหลักต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี