“32.7 คนต่อประชากร 1 แสนคน” เป็นสถิติ “ความตายบนท้องถนนของประเทศไทย” จากรายงาน Globalstatus report on road safety 2018 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานดังกล่าวซึ่งเผยแพร่ในปี 2561 ยังระบุด้วยว่า ไทยอยู่ในอันดับ 9 ของประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงที่สุด ขณะที่ “15 ล้านคัน” เป็นจำนวนรถส่วนบุคคล (เก๋ง-กระบะ) จดทะเบียนสะสม ณ สิ้นปี 2561 และ “9 แสนคัน” เป็นจำนวนรถส่วนบุคคล (เก๋ง-กระบะ) จดทะเบียนใหม่ในปี 2561 โดยกรมการขนส่งทางบก
สำหรับสังคมไทยดูจะเป็น “ความชินชา” ไปเสียแล้วกับปัญหา “รถติด-อุบัติเหตุ” เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ไขกันได้อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า “ประเทศไทยวิวัฒนาการมาแบบสังคมรถส่วนตัว” ดังเรื่องเล่าจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการบรรยายหัวข้อ “Better City จะทำเมืองให้ดีขึ้นได้อย่างไร” จัดโดยศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อดีต รมว.คมนาคม ยกกรณีของ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ขึ้นเป็นตัวอย่าง “ระยะหลังๆ คนย้ายออกจากเขตเมืองชั้นในไปอยู่รอบนอกมากขึ้น” ทั้งเขตหนองจอกอันเป็นขอบเมืองฝั่งตะวันออก หรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปอยู่ในเขตต่างๆ ของฝั่งธนบุรี “การมาของโครงข่ายถนนก่อนระบบรางเอื้อให้ผู้คนย้ายไปอยู่รอบนอก” แต่ละคนอยากมีบ้านเดี่ยว“เกิดชุมชนกระจัดกระจาย” ต้องซื้อรถยนต์มาใช้ในการเดินทางแล้วการจราจรก็ติดขัด “ราคาอสังหาริมทรัพย์ยิ่งใกล้ตัวเมืองชั้นในมากเท่าใดก็ยิ่งราคาแพง ทำให้ผู้คนต้องออกไปตั้งรกรากไกลขึ้น” ไกลถึงจังหวัดปริมณฑล
“เมืองมันถูกกระจายออก คนที่อยู่ในเมืองคือคอนโดฯ ราคาแพง และสุดท้ายนี่คือปัญหารถติด เพราะสุดท้ายคนต้องขับรถเข้ามาในเมือง ที่อยู่อาศัยมันถูกผลักออกไป ออฟฟิศอยู่ข้างใน แต่ที่อยู่อาศัยเราอยู่ตรงวงแหวน บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ แล้วรถจะไม่ติดได้อย่างไร เพราะงานกับบ้านมันอยู่ไกลกันเหลือเกิน ถามว่าเรามีเงินซื้อคอนโดฯ ในเมืองไหม? ยาก! มันตารางเมตรละ 2 แสนบาท เราก็ไปซื้อทาวน์เฮ้าส์อยู่ไกล วันหนึ่งเราเดินทางไป 1 ชั่วโมง กลับ 1 ชั่วโมง ปีหนึ่งเราเดินทางอยู่บนรถ 1 เดือน” ชัชชาติ อธิบายที่มาของปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ
เช่นเดียวกับการบรรยายของ รศ.ยุวดี ศิริ อาจารย์ภาควิชาเคหะการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “Real Estate กับการพัฒนาเมือง” ที่บอกเล่าประวัติศาสตร์การพัฒนาเมืองของ กทม. และประเทศไทย “เมื่อถนนไปที่ใด..ชุมชนก็เกิดขึ้นด้วย” ซึ่งอาจแบ่งได้ดังนี้ 1.ยุคก่อนมีทางหลวงแผ่นดิน ยุคนี้วิถีชีวิตคนไทยยังไม่แยกจากการสัญจรในคลองเท่าไดนัก โครงการจัดสรรที่ดินก็จะอยู่ตามแนวถนนเกิดใหม่ไม่กี่สายในขณะนั้น เช่น สาทร เพลินจิต นานา สี่พระยา
2.ยุคมีทางหลวงแผ่นดิน เริ่มขึ้นในปี 2493 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้นำประเทศขณะนั้น ส่งเสริมให้มีทางหลวงแผ่นดิน 3 สายหลัก “ถนนพหลโยธิน” สู่ภาคเหนือ “ถนนเพชรเกษม” สู่ภาคใต้ และ “ถนนสุขุมวิท” สู่ภาคตะวันออก ที่ดินตามแนวถนนเริ่มถูกแบ่งขายไปทำหมู่บ้านจัดสรรมากขึ้น แต่ช่วงแรกๆ ธนาคารยังไม่มีระบบสินเชื่อ การซื้อ-ขายเป็นการตกลงกันเองระหว่างนักพัฒนาอสังหาฯ กับเจ้าของที่ดิน เกิดปัญหานักพัฒนาบางรายทำสัญญาผ่อนแล้วไม่ผ่อนจนครบมากขึ้น จนรัฐบาลต้องเข้ามาจัดระเบียบ เกิดเป็นกฎหมายจัดสรรที่ดินในปี 2515
3.ยุคยกเลิกรถราง รถรางเกิดขึ้นในปี 2431 กระทั่งเริ่มทยอยยกเลิกในปี 2506 และยกเลิกจนหมดในปี 2510-2511นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้าง “สะพานพระปิ่นเกล้า” เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งที่ 2 ต่อจากสะพานพุทธ การจัดสรรที่ดินก็จะไปทางฝั่งธนบุรีมากขึ้น เกิดถนนสายใหม่ๆ เช่น ถนนจรัญสนิทวงศ์ ถนนบรมราชชนนี ยุคนี้เริ่มเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ถนนวงแหวน” ประกอบด้วยถนนรัชดาภิเษกเป็นวงแหวนรอบใน ถนนกาญจนาภิเษกเป็นถนนวงแหวนรอบกลางและ 4.ยุคเกิดทางด่วน ทำให้เกิดหมู่บ้านใหม่ๆ เลยแนวถนนวงแหวนออกไป
“รถพุ่มพวง (รถกับข้าว) เกิดขึ้นได้อย่างไร จริงๆ มันคือภูมิปัญญาของเรา คือระบบโครงข่ายมันไม่เวิร์ก คุณสร้างแต่ถนน แต่คุณไม่มีบริการรถสาธารณะ ชาวบ้านก็คิดระบบขึ้นมา มีรถตู้ มีวินมอเตอร์ไซค์ ในขณะที่คุณสร้างหมู่บ้านจัดสรรไปตามถนน รัฐลงทุนแต่สาธารณูปโภค ไม่ทำสาธารณูปการ ไม่ทำตลาด โรงเรียน ไม่ทำอะไรที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อหมู่บ้านจัดสรรไปอยู่ไกลขึ้น ไม่มีบริการสาธารณะ มันก็มีรถตู้ มีวินมอเตอร์ไซค์ แต่ต้องนั่งรถตู้นั่งวินมอเตอร์ไซค์มาในระยะเท่าไรมันจึงจะจับจ่ายใช้สอยได้ ฉะนั้นเมื่อมาตลาดไม่ได้ตลาดก็ไปหา รถพุ่มพวงคือการปรับตัวของตลาดที่ไปหา แต่ไม่ใช่ตลาดอย่างเดียว มันคือตลาดกับโชห่วย (ร้านขายของชำ) รวมกัน” อาจารย์ยุวดี เล่าถึงการปรับตัวของชุมชนไทยที่ระบบขนส่งสาธารณะไม่อำนวย
กลับมาสู่ประเด็นอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกครั้ง สำหรับเมืองไทย “มอเตอร์ไซค์” คือพาหนะยอดนิยมที่สุดของคนไทย จำนวนมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนสะสม ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 20.8 ล้านคัน และมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนใหม่ในปี 2561 อยู่ที่ 1.9 ล้านคัน สถิตินี้มาพร้อมกับความสูญเสียของคนไทย ดังที่ ศ.ดร.พิชัยธานีรณานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์(วสท.) กล่าวว่า หากมีคนตายบนถนนเมืองไทยปีละ 2 หมื่นศพ ร้อยละ 70 ก็คือผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์
อาจารย์พิชัย เสนอแนะว่า “ควรมีทางวิ่งของมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ” ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง เช่นใน มาเลเซีย ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990s(ปี 2533-2542) เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน “แม้กระทั่งทางด่วนก็ยังมีช่องให้มอเตอร์ไซค์วิ่ง” อุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ลดลงร้อยละ 39 และผู้ใช้มอเตอร์ไซค์เสียชีวิตลดลงร้อยละ 83 ขณะที่ประเทศไทย มีตัวอย่างที่น่าสนใจอย่าง ทางจักรยานใน จ.นราธิวาส เมื่อทำแล้วไม่ตอบโจทย์การใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน จึงมีผู้ใช้มอเตอร์ไซค์เข้าไปวิ่งแทน และแม้จะเป็นทางแคบๆ แต่ก็แบ่งพื้นที่ให้แล่นสวนกันได้
จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า “เมื่อคนไทยใช้มอเตอร์ไซค์มากที่สุดในชีวิตประจำวัน ขณะที่จักรยานอาจเป็นเพียงกิจกรรมนันทนาการ การแบ่งพื้นที่ถนนให้มอเตอร์ไซค์จึงน่าจะสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า” แต่จะทำแบบใดต้องศึกษาความเหมาะสม เช่น มาเลเซียชิดซ้ายสุด แต่ ไต้หวัน เลือกใช้เลนกลาง ถึงกระนั้น “ไม่จำเป็นต้องทำพร้อมกันทั้งประเทศ..แต่ค่อยๆ ทำไปในจุดที่พอทำได้” ให้เป็นโครงการนำร่อง เพื่อให้ได้ผลการศึกษาจากสภาพแวดล้อมจริงของไทยสู่การปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่อง อาทิ จุดเลี้ยวตามซอยจุดกลับรถ ฯลฯ เพื่อขยายผลต่อไปในอนาคต
“ปัญหามอเตอร์ไซค์ไม่ใช่แค่ปลอดภัยอย่างเดียวมันเป็นปัญหาความเสมอภาคด้วย คนใช้มอเตอร์ไซค์มีมากแต่ไม่ได้จัดอะไรให้เขา ถนนมากพอที่จะจัดที่ให้เขา ทั่วประเทศมอเตอร์ไซค์กว่า 50%” อาจารย์พิชัย กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี