เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทย มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงติดอันดับโลก ตั้งแต่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก กรณีการเสียชีวิตนอกจากสร้างความเศร้าเสียใจกับผู้ที่อยู่ข้างหลังแล้ว ยังนับเป็นความสูญเสียทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาประเทศด้วย ซึ่งไม่อาจประเมินมูลค่าได้
จากสถิติที่เกิดขึ้นในรอบปี ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวต่อเนื่อง ทำให้มีการเดินทางคับคั่ง เช่น ปีใหม่และสงกรานต์ เป็นตัวชี้วัดและข้อพิสูจน์แล้วว่าปัญหานี้ยังคงสร้างความสูญเสียอย่างมหาศาล
เมื่อไม่นานมานี้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัด จัดทำ “โครงการถนนปลอดภัย” ให้ดำเนินการเสริมสร้างวินัยจราจรและสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้การบริหารงานจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ให้บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถหรือการใช้ทางบนถนนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พิจารณาเลือกถนนสายสำคัญในพื้นที่ หรือถนนที่มีการฝ่าฝืนกฎจราจรจำนวนมาก ถนนที่มีอุบัติเหตุในเส้นทางบ่อยครั้ง หรือถนนที่มีที่ตั้งของสถานศึกษาอยู่หลายแห่ง เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในทุกมิติ รวมถนนที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 94 จุด ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับผิดชอบ อาทิ กรมทางหลวง กรุงเทพมหานคร สำนักการโยธา กรมทางหลวงชนบท เทศบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดทุกยุคทุกสมัย ซึ่งกรณีการไม่สวมหมวกนิรภัย หรือหมวกกันน็อก ทั้งคนขับและคนซ้อน หากคนขับไม่เตือนให้คนซ้อนสวมใส่จะถูกปรับหนัก เพิ่มโทษเป็น 2 เท่า เป็นเงิน 2,000 บาท
สอดคล้องกับที่สำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการถนนปลอดภัย เป็นไปตามแนวทางของสหประชาชาติด้านความปลอดภัยทางถนน (UN Secretary General’s Special Envoy for Road Safety) ที่ต้องการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทย ยังคงเผชิญกับอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในระดับสูง โดยเฉพาะผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ส่วนวัตถุประสงค์ของโครงการถนนปลอดภัย ภาครัฐมุ่งเน้นการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ด้วยการรณรงค์ให้ตระหนักถึงความปลอดภัย ซึ่งต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน การใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องตรวจจับความเร็ว ระบบ GPS การรณรงค์ช่วงเทศกาล ช่วยลดอุบัติเหตุได้ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม หากยังขาดการปรับพฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนในระยะยาว ก็ยังคงมีความเสี่ยง
ตัวอย่าง เช่นกรณีตำรวจจราจร ไล่จับไรเดอร์ไม่สวมหมวกนิรภัย โดยกระชากจนจักรยานยนต์ล้ม ทำให้ทั้งคนขับและคนซ้อนท้ายที่เป็นลูกค้าของไรเดอร์ ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดหน้าห้างดังย่านปทุมวัน เป็นอีกกรณีที่แสดงถึงการขาดจิตสำนึกของคนขับ และการขาดการใช้ดุลพินิจหรือแนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ ถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริงก็น่าจะผิดทั้งสองฝ่าย
ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ คงจะเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อพฤติกรรมเสี่ยง คือการไม่เคารพกฎจราจร เช่น การไม่สวมหมวดนิรภัย ขับรถเร็ว เมาแล้วขับ ฝ่าไฟแดง ขับขี่หวาดเสียว แซงในที่คับขัน หรือขับย้อนศร เหล่านี้เป็นต้น
ส่วนสาเหตุหลักของอุบัติเหตุที่รุนแรง เช่น การจอดขวางเส้นทาง ไม่ให้ทาง เปลี่ยนช่องทางกะทันหัน การใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างขับขี่ทำให้เสียสมาธิและเพิ่มโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุ จึงต้องปลุกสำนึกของผู้ใช้รถใช้ถนน สร้างสังคมที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ
สำหรับแนวทางการแก้ไขและป้องกันอย่างยั่งยืน ภาครัฐ ควรดำเนินการ 1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงถนน จุดเสี่ยง ทางม้าลาย ระบบไฟสัญญาณ แยกเส้นทางสำหรับจักรยานยนต์และจักรยาน และทางรถยนต์ อย่างชัดเจน 2.การให้ความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกบรรจุหลักสูตร “วินัยจราจร” ตั้งแต่ระดับประถม ฝึกอบรมและสอบใบขับขี่ที่เน้นจิตสำนึก ไม่ใช่เฉพาะแค่ทักษะ
3.การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายต้องไม่หย่อนยาน มีการใช้กล้องตรวจจับความเร็ว / กล้องฝ่าไฟแดงทั่วประเทศ เพิ่มค่าปรับแล้วนำรายได้จากส่วนนี้ไปพัฒนาความปลอดภัย 4.การมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคเอกชน ตั้งเครือข่าย “ถนนปลอดภัย” ระดับหมู่บ้าน/เขต ส่งเสริม CSR ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางถนน
5.ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์จุดเสี่ยงจากข้อมูลอุบัติเหตุ ระบบเตือนผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
เป้าหมายระยะยาว คือการลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ต่ำกว่า 10 คนต่อ 100,000 คนภายในปี 2030 ซึ่งเป็นเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน ให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี