แห่กราบหลวงตาบุญชื่น ปัญญาวุฒิโท พระธุดงค์วัยชราวัย 71 ปี เดินเท้าเปล่าจากเชียงรายถึงนครพนม รถไม่ขึ้น-ไม่รับปัจจัย เผยชีวิตเคยเป็นทหารผ่านศึก ก่อนสละทางโลกมุ่งจาริกตามรอยหลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต
วันที่ 14 มกราคม 2563 ณ ที่พักสงฆ์ชั่วคราว ท้ายหมู่บ้านเสาเล้าใหญ่ หมู่ 2 ต.โพนสวรรค์ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม มีญาติโยม ประชาชน นักท่องเที่ยว สายบุญ เดินทางมากราบไหว้ สนทนาธรรมกับหลวงตาบุญชื่น ปัญญาวุฒิโท หรือหลวงตาชื่น พระธุดงค์สายธรรมยุต วัย 71 ปี ที่พื้นเพเป็นชาวบ้านเสาเล้า ต.โพนสวรรค์ ซึ่งสละทางโลกหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม เพื่อหาความสงบในชีวิต ด้วยการเข้าอุปสมบท และปฏิบัติธรรมจาริกธุดงค์มานานกว่า 10 ปี รวมกว่า 10 พรรษา
จนกระทั่งเป็นข่าวโด่งดังทางโซเชียล เนื่องจากมีญาติโยม ประชาชน นักท่องเที่ยว พบเห็นขณะกำลังเดินธุดงค์เส้นทางภาคเหนือจังหวัดเชียงรายมาภาคอีสานจังหวัดนครพนม รวมระยะทางไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร ระหว่างทางมีญาติโยมจอดรถแวะนิมนต์ขึ้นรถ พร้อมทั้งถวายปัจจัย แต่ท่านไม่ยอมขึ้นรถและรับปัจจัย รับถวายเพียงน้ำดื่มเท่านั้น และหลังย่ำเท้าเปล่ามาถึงบ้านเกิดก็ไปจำพรรษาที่พักสงฆ์อยู่ในป่าช้า จึงมีญาติโยมหลายคนทราบข่าวได้แวะกราบไหว้ พร้อมระบุว่าได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน แสวงบุญจาริกธรรมตามรอยพระเกจิชื่อดัง คือหลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายป่า เพื่อหาความสงบสุขในชีวิต จึงไม่ขอรับปัจจัย เพื่อเข้าถึงสัจธรรมของชีวิต ทำให้ ผู้พบเห็นและทราบข่าว เกิดความศรัทธาในความตั้งมั่น และความเพียรพยายาม ของหลวงตาชื่น ทั้งที่มีอายุมากถึง 71 ปี
หลวงตาชื่นเล่าให้ฟังว่า หลังออกพรรษาได้ เดินธุดงค์จากที่พักสงฆ์บ้านเกิด ไปยัง อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อแสวงบุญปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียร ใช้ระยะเวลาเดินทางจาก จังหวัดนครพนมไปถึงจุดหมายปลายทางประมาณ 40 วัน จากนั้นเดินทางกลับโดยใช้เวลาประมาณ 35 วัน ช่วงระหว่างการเดินทางทั้งไปและกลับ จะพักตามป่าเขาทุ่งนา ไม่นอนวัด ทำให้สายบุญ ที่ทราบข่าวเกิดความศรัทธา และเดินทางมากราบไหว้สนทนาธรรมไม่ขาดสาย ส่วนการทำบุญระหว่างหลวงตาชื่นธุดงค์ จะไม่รับปัจจัยและสิ่งของเครื่องใช้อย่างอื่น นอกจากน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ หลวงตาบุญชื่น ปัญญาวุฒิโท มีชื่อในทะเบียนบ้านว่านายบุญชื่น อุ่นเทียมโสม เกิดที่บ้านเสาเล้า ต.โพนสวรรค์ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม ในวัยหนุ่มเคยเป็นทหารเกณฑ์ และได้รับคัดเลือกไปสู้รบในยุคสงครามเวียดนามประมาณปี 2512 สังกัดพกองพันปืนใหญ่ จ.อุดรธานี ผ่านการฝึกรบพิเศษเป็นเวลา 2 ปี ก่อนปลดประจำการได้เหรียญทหารผ่านศึก กลับมาแต่งงานมีลูกทั้งหมด 4 คน จากนั้นจึงขอครอบครัวลาบวช เพราะต้องการหาสัจธรรมของชีวิต อยากเห็นความสงบ เพราะชอบศึกษาธรรมมะ และจะศึกษาหลักธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น จึงเข้าอุปสมบทตัดทางโลกเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ เมื่อปี 2552 จากนั้นได้แสวงบุญเป็นพระสายป่าธรรมยุตเดินธุดงค์ไปหลายที่ จะจำวัดตามป่าเขา ก่อนนี้ไปจำพรรษาในถ้ำเตียง สิริขันธ์ บนเทือกเขาภูพาน จ.สกลนคร ยาวต่อเนื่องถึง 4 ปี
หลวงตาชื่นกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ได้ตั้งมั่นจาริกธรรม เดินธุดงค์ไปภาคเหนือพร้อมกับคณะพระสงฆ์หลายวัด เมื่อจาริกกลับจังหวัดนครพนม มีญาติโยมนิมนต์ขึ้นรถเพราะสงสารเห็นว่าอายุมากแล้ว แต่ตนต้องการบำเพ็ญเพียร แสวงบุญธุดงค์ตามรอยหลวงปู่มั่น จึงไม่ขอขึ้นรถ และไม่ต้องช่วยขนสัมภาระ ขอรับถวายเพียงน้ำเปล่า และไม่กลัวว่าจะเจ็บป่วย เนื่องจากสละทุกอย่างแม้สังขาร เพราะต้องการเข้าถึงสัจธรรม สำคัญที่สุดกิจของสงฆ์จะต้องไม่ขาด เช่นบิณฑบาตโปรดสัตว์ ทำวัดเช้า-เย็น สวดมนต์เจริญภาวนา และศึกษาธรรมมะ หากญาติโยมที่ต้องการสนทนาธรรมก็ยินดี และจะจำวัดที่พักสงฆ์ ถึงสิ้นเดือนมกราคม ก่อนจะจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อบำเพ็ญ
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าว ได้พูดคุยกับครอบครัวหลวงตาชื่น พบกับนางตาล อุ่นเทียมโสม อายุ 66 ปี และลูกสาวคนโตคือ นางบานเย็น บุพศิริ อายุ 46 ปี ทั้งสองได้เปิดเผยว่าหลวงตาในช่วงวัยหนุ่มเป็นคนขยัน มุมานะ อดทน ตรากตรำทำงานเพื่อครอบ ครัวมาตลอด และชอบทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ เคยบอกครอบครัวว่าถึงวัย 60 ปี หรือหลังจากลูกทุกคนมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาจะขอลาบวชใช้ชีวิตทางธรรมสละทางโลก กระทั่งปี 2552 ได้ลาครอบครัวไปบวช ซึ่งทุกคนไม่ขัดข้อง ขออนุโมทนาบุญกับหลวงตาชื่น เพราะเป็นความตั้งใจ ถึงแม้ห่วงด้านสุขภาพ แต่เป็นสิ่งที่หลวงตาชอบ “ตลอดการบวชกว่า 10 ปี ท่านจะไม่จำวัดอยู่กับที่ จะไปจาริกธุดงค์ทั่วประเทศตามพระอาจารย์ ที่รู้จัก ไม่มีโทรศัพท์มือถือติดต่อกลับมา เพราะหลวงตาบอกกับครอบครัวว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่จะเห็นกลับมา หากทราบข่าวเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยค่อยไปดูแล กรณีเจ็บป่วยตายในป่า ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะเกิดอะไรขึ้นต้องรับได้หมด”
กระทั่งล่าสุดทางครอบครัวดีใจมาก และอนุโมทนาบุญกับหลวงตาชื่น หลังเห็นข่าวในโซเชียลว่าพบหลวงตากำลังธุดงค์เท้าเปล่ากลับบ้านเกิด ยอมรับดีใจจนน้ำตาไหล สำคัญที่สุดคืออานิสงส์ผลบุญที่หลวงตาแสวงบุญไว้ จะส่งผลให้ลูกหลาน มีความร่มเย็นเป็นสุข ทุกคนขออนุโมทนาบุญ ซึ่งหลวงตาขอจำวัดในป่าช้าท้ายหมู่บ้าน และไม่กลัวถ้าวันที่หลวงตาจากไปจะมาถึง เพราะหลวงตาบอกทุกคนว่าขอตายในผ้าเหลือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี