ปัญหา... กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยยู่ตามแนวชายแดนต่างๆ ทำให้ไม่ได้รับสวัสดิการทางสังคมที่เท่าเทียมกับคนอื่นๆ โดยเฉพาะสิทธิการยืนยันตัวตนแสดงความเป็นคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการในสังคม เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้ถือบัตรประชาชน
มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดโครงการพัฒนาสุขภาวะผู้เฒ่าไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ในพื้นที่พรมแดนไทย-เมียนมา และไทย-ลาว โดยนางเตือนใจ ดีเทศน์ (ครูแดง) ผู้ก่อตั้ง พชภ. ร่วมกับ ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสนุทร นักวิชาการจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นางเพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการ พชภ. ได้พา “ทีมข่าวเฉพาะกิจแนวหน้าออนไลน์” ลงพื้นที่บ้านกิ่วสะไต และบ้านเฮโก ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย และหมู่บ้านป่าคาสุขใจ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เพื่อพบปะและพูดคุยกับผู้เฒ่าที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้น ที่ยังไม่ได้รับสัญชาติ หรือการแปลงสัญชาติเป็นคนไทยจำนวนไม่น้อย
สำหรับ จำนวนประชากรในจังหวัดเชียงราย สำรวจเมื่อเดือนธันวาคม 2562 ระบุว่า ผู้ที่มีสัญชาติไทย และมีชื่อในทะเบียนบ้าน จำนวน 1,165,123 ราย ผู้ที่ไม่ได้สัญชาติไทย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน จำนวน 120,844 ราย แบ่งออกเป็นเพศชาย 56,040 และเพศหญิง 64,804 ราย ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลาง (ทะเบียนบ้านซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนดให้จัดขึ้นทำสำหรับลงรายการบุคคลที่ไม่อาจมีชื่อในทะเบียนบ้าน) จำนวน 11,059 ราย และผู้ที่อยู่ระหว่างการย้าย (ผู้ที่ย้ายแกแต่ยังไม่ได้ย้ายเข้า) จำนวน 1,278 ราย ทั้งนี้เราจะเห็นได้ว่าผู้ที่ยังไม่ได้สัญชาติไทยนั้นยังมีจำนวนมาก
นางเตือนใจ กล่าวว่า จุดที่เราต้องเร่งแก้ปัญหาสิ่งแรก คือ พวกเขาไม่รู้ ไม่กล้า และทัศนคติ กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนไร้รัฐไร้สัญชาติเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก โดยเจ้าหน้าที่ระดับกรมการปกครองมีภารกิจจำนวนมาก ไม่ได้โฟกัสเกี่ยวกับคนไร้รัฐไร้สัญชาติ และอีกเรื่องหนึ่ง คือ การเรียกผลประโยชน์ เนื่องจากปริมาณงานนั้นมีจำนวนมาก อาทิ บริเวณชายแดนบางอำเภอมีกลุ่มเป้าหมาย 30,000-50,000 ราย แต่เจ้าหน้าที่มีจำนวนไม่กี่คน จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา ดังนั้น การแก้ปัญหาโดยเฉพาะผู้สูงอายุนั้น เพิ่งจะปรากฎว่าสังคมไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่าสมบูรณ์ ในปี 2564 เราจะมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 20 ซึ่งโดยหลักสิทธิมนุษยชน คือ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทุกคนจะได้รับสิทธิอย่างเสมอภาค
“ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ระดับฝ่ายปฏิบัติจะสบายใจถ้ามีนโยบายสั่งการมาโดยตรง อย่างกรณีของน้องน้ำผึ้งที่จะได้ไปแข่งขันทางวิทยาศาสตร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีหลักฐานว่าเกิดที่ประเทศไทย มีการดำเนินการเสร็จภายใน 7 วัน ตนเห็นใจข้าราชการระดับปฏิบัติ แต่ถ้ามีการสั่งตรงลงมาจากผู้ใหญ่ระดับสูงจะทำได้อย่างมั่นใจ และมีเกาะป้องกันตนว่าเขาทำถูกแล้วตามนโยบายที่ได้รับสังการมา”
ครูแดง ให้เหตุผลอีกว่า พ่อเฒ่าแม่เฒ่าในกลุ่มผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ต้องผลักดัน เพราะพวกเขาเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองไม่ได้ พูดภาษาไทยไม่ได้ แก่แล้วศักยภาพทางร่างกายก็ลดลงไม่สามารถเรียกร้องสิทธิให้ตัวเอง ซึ่งต่างเด็กที่สังคมยอมรับและยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
ด้าน ดร.พันธุ์ทิพย์ กล่าวว่า การขอแปลงสัญชาติสามารถทำได้แบบทั่วไป แบบผู้ที่ทำคุณประโยชน์ และแบบให้ผู้ด้อยโอกาส ซึ่งกรณีชาวบ้านที่หมู่บ้านป่าคาสุขใจนั้นถือเป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยในการร่วมกันอนุรักษ์ผืนป่าเอาไว้เป็นที่ประจักษ์ และสามารถขอได้ทั้งแบบทั่วไปและแบบผู้ทำคุณประโยชน์ซึ่งเข้าเงื่อนไข 5 ข้อ คือ
1.มีอายุ 20 ปีขึ้นไป 2.มีความประพฤติดี 3.มีอาชีพเป็นหลักฐาน 4.มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และ 5.พูดฟังภาษาไทยได้ บางรายมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านมานานมากกว่า 40 ปีแล้ว ซึ่งพบว่าแต่ละรายมีคุณสมบัตินี้แต่ติดขัดปัญหาบางประการ อาทิ กรณีอาชีพทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้ออกให้ทั้งๆ ที่เขาก็ทำอาชีพเกษตรกรรม เช่น ปลูกชา กาแฟ ฯลฯ มาตั้งแต่อดีต แต่ละคนต่างเป็นผู้เฒ่าจึงไม่ต้องพูดถึงอายุจะเข้าเกณฑ์หรือไม่
ดร.พันธุ์ทิพย์ กล่าวอีกว่า ตนสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีเอกสารขาด โดยเฉพาะหน่วยงานกระทรวงพาณิชย์ จากนั้นจะยื่นต่อกรมการปกครอง เพื่อขอให้ดำเนินการเพราะปัญหาที่ทำให้เรื่องยืดเยื้อจากการยื่นเรื่องที่ผ่านมาคือเจ้าหน้าที่ไม่ออกใบรับคำร้องให้เรื่องจึงถูกค้างเอาไว้นานโดยไม่มีกำหนด อย่างไรก็ตาม จะพยายามให้เจ้าหน้าที่ได้ออกใบรับคำร้องกฎหมาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบตามกระบวนการซึ่งกฎหมายระบุว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน หากว่าพ้นเวลาดังกล่าวไปแล้วเจ้าหน้าที่ยังไม่ดำเนินการให้ก็จะมีการฟ้องร้องเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างต่อไป
“กรณีชาวบ้านที่หมู่บ้านเฮโก พบว่าเอกสารที่ใช้สำรวจบุคคลยังไม่แจ้งที่มาที่ไปชัดเจน และข้อมูลขัดแย้งกันระหว่างหน่วยงาน จึงจะรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เพื่อยื่นเสนอไปอีกครั้ง และการที่เจ้าหน้าที่ระบุว่าทำไม่ได้เพราะเห็นว่าไม่มีข้อกฎหมายใดมาอ้างอิงได้เป็นเรื่องที่จะต้องรีบแก้ไข เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไปแจ้งกับชาวบ้านแบบผิดๆ”
ขณะที่ นายอาเหล่ งัวยา อายุ 69 ปี ชาติพันธุ์ลีซู ชาวบ้านเฮโก ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตนเกิดในประเทศไทย แต่ไม่นับว่าเป็นคนไทย ตนเสียใจมาก น้อยใจ และตอนนี้ผู้สูงอายุที่มีสัญชาติไทยแล้วเขาได้เบี้ยผู้สูงอายุ แต่ตนที่เกิดในประเทศไทยคนดั้งเดิม แต่ทำไมตนไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีใบต่างด้าวแล้ว แต่เวลาเจอด่านต่างๆ ก็ใจหาย ทั้งๆ ที่มีใบถิ่นถาวร ซึ่งไม่เหมือนกับการมีบัตรประชาชน ที่ยืนยันตัวว่าเป็นคนไทย ตอนนี้อายุก็มากแล้ว ตนในฐานะผู้นำหมู่บ้านเวลาจัดงานต่างๆ ก็ไม่มีงบเหมือนหมู่บ้านอื่นๆ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีบัตรประชาชนก็ไม่สามารถไปของบได้
ส่วน นายอาฮือ หว่อปอกู่ อายุ 67 ปี ชาติพันธุ์อาข่า ชาวบ้านหมู่บ้านป่าคาสุขใจ ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตนรอมานานกว่า 43 ปีแล้วที่จะได้สัญชาติไทยโดยที่ผ่านมาลูกๆ หลานๆ ต่างก็ได้รับกันหมดแล้ว รู้สึกน้อยใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าได้บัตรประชาชนก็จะดีใจมากๆ เพราะอย่างน้อยก็ได้เป็นคนไทย นอนตายตาหลับแล้ว
ท้ายสุดนี้... การแก้ปัญหาต้องอาศัยทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และควรมีความรู้ด้านกฎหมาย เกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใส่ใจ และอย่าเมินเฉยต่อบุคคลชาติพันธุ์ต่างๆ เพราะทุกอย่างจะง่ายขึ้นถ้าหากมีคำสั่งที่ชัดเจน และลงมือปฏิบัติจริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี