ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับงานประกาศผล“รางวัลออสการ์ (Oscar)”ครั้งที่ 92 เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหากจะบอกว่า “ความเหลื่อมล้ำ” เป็นประเด็นสำคัญที่เวทีรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนในแวดวงภาพยนตร์ต้องการสื่อสารกับสังคมในปีนี้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะทั้ง “ชนชั้นปรสิต (Parasite)” หนังสัญชาติเกาหลีใต้ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ “โจ๊กเกอร์ (Joker)” หนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ด สหรัฐอเมริกา ที่นักแสดงนำ “วาคิน ฟีนิกส์ (Joaquin Phoenix)” ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ล้วนสะท้อนเรื่องราวความเหลื่อมล้ำในสังคมทั้งสิ้น
จากต่างแดนย้อนดูเมืองไทย แม้ที่ผ่านมาจะมีข้อถกเถียงกรณีการนำเสนอข่าวว่าประเทศไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 1 ของโลกนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ก็เป็นความจริงว่าปัญหานี้รุนแรง รายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เผยแพร่เมื่อเดือน ธ.ค. 2562 เรื่อง “ภาพรวมความเหลื่อมล้ำของไทยในศตวรรษที่ 21” ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานในประเทศอย่าง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และต่างประเทศอย่าง World Economic Forum สรุปว่า แม้คนจนในไทยจะลดลงแต่ช่องว่างระหว่างชนชั้นยังคงสูง
ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2563 ครั้งที่ 42 เรื่อง “ชีวิตที่เหลื่อมล้ำ : เหลื่อมล้ำตลอดชีวิต” ณ ศูนย์การเรียนรู้ ธปท. ซึ่งจัดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนถึงวันประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งล่าสุด ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดประเด็นด้วยงานเขียนของปราชญ์ชาวตะวันตก ฌอง-ฌาก รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) ที่นอกจาก “สัญญาประชาคม (The Social Contract)” แล้วยังมีงานเขียนอีกชิ้นหนึ่งคือ “วาทกรรมว่าด้วยความไม่เท่าเทียม (Discourse on Inequality)” ตั้งคำถามถึงสาเหตุของความเหลื่อมล้ำ
“รุสโซเสนอว่าสิ่งที่เรียกความไม่เท่าเทียมกัน มันเกิดตอนที่คนเข้ามาอยู่ในสังคมที่เราเรียกว่าซิวิลโซไซตี้ (Civil Society) ที่ตอนหลังเราแปลว่าประชาสังคม ในยุโรปในขณะนั้น ในศตวรรษที่ 18 (ปี 2243-2342) มันเริ่มมีชุมชนทางการเมืองที่คู่ขนานหรือพยายามต่อรองอำนาจกับรัฐบาล ซึ่งกลุ่มอำนาจทางการเมืองอันใหม่เขาก็เรียกเป็นพวกสังคม ซึ่งในโลกตะวันออกมันไม่เกิด มันมาเกิดในช่วงหลังๆ นี่เองหลังจากที่เราผ่านอิทธิพลตะวันตกมาหลายร้อยปีมันถึงรับความคิดนี้เข้ามา” อาจารย์ธเนศ กล่าว
สำหรับแนวคิดทางการเมืองที่เป็น “ของใหม่” ในสมัยนั้นก็คือ “ระบอบประชาธิปไตย” มีรัฐสภาและอำนาจเป็นของประชาชนหรือพลเมืองไม่ใช่ผู้ถืออาวุธอีกต่อไป อาจารย์ธเนศ เล่าต่อไปว่า แต่ก่อนจะมีสังคมของพลเมือง รุสโซอธิบายว่า “มนุษย์ในอดีตอยู่กันแบบสังคมธรรมชาติ (Natural Society) สังคมแบบนั้นไม่มีปัญหาความไม่เท่าเทียม กระทั่งเมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันมากเข้า ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันจึงเกิด” เพราะแม้ด้านหนึ่งการที่มนุษย์รวมตัวกันจะเกิดความร่วมมือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้มากมาย
แต่อีกด้านหนึ่ง ความรู้สึกรักตนเอง (หรือรุนแรงขึ้นไปอีกขั้นคือเห็นแก่ตัว) ก็ทำให้มนุษย์มีการเปรียบเทียบซึ่งกันและกันจนนำไปสู่ความขัดแย้ง ดังที่รุสโซเริ่มใช้คำว่า “กระฎุมพี (Bourgeoisie)” อันหมายถึงพ่อค้า นายทุนรวมถึงชาวเมือง ในการวิพากษ์ประชากรกลุ่มนี้ที่มีลักษณะสำคัญคือ 1.คิดถึงตนเองเมื่ออยู่กับผู้อื่น เช่น เปรียบเทียบว่าทำไมตนเองไม่เก่งเท่าเขา ไม่รวยอย่างเขา หน้าตาไม่ดีเหมือนเขา ฯลฯ กับ 2.คิดถึงผู้อื่นเมื่ออยู่กับตนเอง เช่น บอกกับตนเองว่าเราดีกว่าเขา ทำไมเขาไม่เห็นเราดี เป็นต้น
เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมไทย งานเขียนทางการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดที่สามารถสืบค้นได้คือ “ไตรภูมิพระร่วง” ในสมัย “อาณาจักรสุโขทัย (ปี 1792-1981)” วรรณกรรมดังกล่าวที่อิง “ความเชื่อทางพุทธศาสนา” ได้ส่งผ่าน “หลักคิด” จากรุ่นสู่รุ่นและหยั่งรากลึกมาจนถึงปัจจุบัน ที่ว่า “เป้าหมายสูงสุดของคนในสังคมไทยทั้งผู้นำและผู้ตามคือเป้าหมายทางธรรมไม่ใช่ทางโลก” หลักคิดนี้อยู่มานานกว่าหลักคิดทางการเมืองสมัยใหม่ในโลกตะวันตกเสียด้วยซ้ำไป และอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนไทยยังยอมรับได้กับการอยู่ในสังคมที่เหลื่อมล้ำ
“ปัญหาของความเหลื่อมล้ำหรือความไม่เท่าเทียมกัน ผมคิดว่าในตัวมันเองไม่ได้มีความลำบากหรือเป็นปัญหามากเท่าไหร่ แต่มันอยู่ที่ว่าคนรับมันหรือไม่ รับอย่างไร ผมคิดว่าในหลายร้อยปีของเรารับมันโดยดุษณี คือรับโดยไม่มีปฏิกิริยา ยอมรับอย่างค่อนข้างจะมีความสุข (Happy) นิดๆ แล้วก็เอาอย่างอื่นมาชดเชยเพื่อให้เห็นว่าถึงเราไม่มีสิ่งนี้แต่เราก็มีสิ่งนั้น ฉะนั้นชาตินี้ไม่ดีก็ชาติหน้า รอไป ทำบุญเข้าไป เพราะฉะนั้นเราไม่ได้อยู่อย่างลำบากกับความเหลื่อมล้ำ
ผมว่าสังคมไทยอยู่อย่างค่อนข้างไม่มีปัญหากับมัน จนกระทั่งนักเศรษฐศาสตร์มาทำให้มีปัญหา เอาจีนี่ (GINI-ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค) มาให้เราดูนี่คือปัญหา ซึ่งที่ผมจะตอบชี้ทางให้บอกว่า จริงๆ แล้วรัฐก็พยายามจะสอนเราว่าความเหลื่อมล้ำไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าเราไปอ่านพงศาวดาร นิทาน คำกลอน ภาษิตอะไรต่างๆ ที่เป็นไทยๆ ทั้งหลาย จะพบว่าเนื้อหาทั้งหมดมุ่งทำให้เราอย่าไปมองความแตกต่าง อย่าไปมองปัญหา มองความเป็นเอกภาพ มองความสมานฉันท์ มองความสามัคคี” อาจารย์ธเนศ ให้ความเห็น
ยังมีนักวิชาการอีกท่านที่กล่าวคล้ายกัน..ย้อนไปเมื่อเดือน ต.ค. 2561 ที่ศูนย์การเรียนรู้ ธปท. แห่งนี้ ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงาน “คุยกัน Money” ในหัวข้อ “พฤติกรรมการเงินแบบไทยๆ จากมุมมองเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม” โดยตอนหนึ่งเล่าเรื่อง “ผลสำรวจความคิดเห็นคนไทย” คำถามที่ว่า “ทำอย่างไรถึงจะรวย” ซึ่ง
คำตอบคือ “อันดับ 1 ร้อยละ 76 เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยอันดับ 2 ร้อยละ 11 ถูกหวยรางวัลใหญ่ๆ” อันดับ 3 ร้อยละ 8 ถึงจะเป็นเรื่องของการทำงานหนักและอดออม
หรือเรื่องการทำบุญ ถ้ามองในแง่เศรษฐศาสตร์ก็คือการลงทุนอย่างหนึ่ง “เมื่อคนไทยประสบเหตุแห่งความไม่เป็นธรรมในชีวิตมักจะมองว่าเป็นเวรกรรมในชาติก่อน แล้วก็ต้องหมั่นทำบุญในชาตินี้เพื่อที่จะได้ชีวิตที่ดีขึ้นในชาติหน้า” ชาวตะวันตกจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงแต่ผู้คนยังมีความสุขอยู่ได้ แต่ในขณะที่คนไทยจะเข้าใจดีและนึกภาพออก
หากสมมุติฐานของนักวิชาการทั้ง 2 ท่านเป็นจริง..สิ่งที่ปัจเจกชนชาวไทยแต่ละคนทำได้ก็คงมีเพียง “อยู่ให้เป็น” กับความเหลื่อมล้ำไปอีกนาน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี