“ที่นี่เราไม่กลัวโคโรนาไวรัส ไม่มีการกักกัน ผู้เสียชีวิต 3 คน เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่มีคนในประเทศติดเชื้อนิการากัวคือประเทศยากจนและนักมวยก็ต้องกินต้องใช้ พวกเขาหยุดอยู่บ้านไม่ได้ (Here we don’t fear the coronavirus, and there is no quarantine. The three deaths came from outside and nobody within the country has been contaminated. , Nicaragua is a poor country and the boxers have to eat. They can’t stay shut up in their house)”
คำกล่าวของ โรเซนโด อัลวาเรซ (Rosendo Alvarez) อดีตแชมป์มวยสากลอาชีพ 2 รุ่น ชาวนิการากัว ที่ปัจจุบันผันตัวไปเป็นโปรโมเตอร์มวยในบ้านเกิด ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนหลายสำนักหลังเพิ่งจัดการแข่งขันครั้งล่าสุดไปเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 25 เม.ย. 2563 ณ เวทีมวย อเล็กซิส อาเกลโล ยิม (Alexis Arguello Gym) กรุงมานากัวเมืองหลวงของนิการากัว สวนกระแสทั่วโลกที่รายการกีฬาต่างๆ ถูกระงับการแข่งขันเนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19
อัลวาเรซ เล่าต่อไปว่า เป็นผู้รับสมัครนักมวยในประเทศรวม 16 คน มาขึ้นชก 8 คู่ เนื่องจากนักมวยเหล่านี้ต้องการมีงานทำ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ประมาท มีมาตรการลดความเสี่ยงโรคระบาดหลายประการ ตั้งแต่ 1.ลดจำนวนการขายตั๋วที่นั่งในสนามมวยลงเพื่อไม่ให้ผู้ชมนั่งกันอย่างแออัด ตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมถึงเว้นระยะระหว่างผู้ชมกับเวทีมวยอย่างน้อย6 ฟุตครึ่ง หรือเกือบ 2 เมตรด้วย ทั้งนี้แฟนมวยที่ไม่ได้มาชมในสนาม ในวันดังกล่าวยังมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง Canal 6 และ ESPN Latin America
2.ผู้เข้าชมการแข่งขันทุกคนต้องสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกตลอดเวลาที่อยู่ในสนาม ยกเว้นนักมวยกับกรรมการที่ได้รับอนุญาตให้ถอดหน้ากากออก แต่ให้ถอดได้เฉพาะระหว่างการชกบนเวทีเท่านั้น 3.มีการเฝ้าระวังสัญญาณเสี่ยง เช่น วัดอุณหภูมิผู้ชมก่อนเข้าสนาม รวมถึงตรวจสุขภาพนักมวย อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ อัลวาเรซยอมรับว่า ยังไม่เคยมีนักมวยถูกส่งไปตรวจหาการติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากยังไม่พบนักมวยมีอาการต้องสงสัยระหว่างฝึกซ้อม
เว็บไซต์ fightnews.com สำนักข่าวออนไลน์ที่นำเสนอข่าวสารแวดวงหมัดๆ มวยๆ ทั่วโลก มา 2 ทศวรรษ เสนอข่าว “Boxing back in Nicaragua May 16” เมื่อ 27 เม.ย. 2563 อ้างการเปิดเผยของโปรโมเตอร์ อัลวาเรซเจ้าเดิม ว่า “การแข่งขันครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในวันที่ 16 พ.ค. 2563” โดยครั้งนี้จะมีคู่เอกคือ ฟรานซิสโก ฟอนเซกา (Francisco Fonseca) นักมวยจากคอสตาริกา สถิติชนะ 25 แพ้ 3 เสมอ 2 ปะทะนักชกเจ้าถิ่น ยูเซบิโอ โอเซโฮ (Eusebio Osejo) สถิติชนะ 30 แพ้ 24 เสมอ 3 ณ เวทีมวยอเล็กซิส อาเกลโล ยิม เช่นเคย
สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เสนอข่าว “Staging a ‘socially distanced’ boxing match” เมื่อ 30 เม.ย. 2563 อ้างความเห็นของ อัลวาเรซ ที่กล่าวว่า ต้องการให้มีการชกมวยเกิดขึ้นต่อไป แม้ว่านักวิจารณ์พยายามทำให้ตนเองถูกมองเป็นพวกคนโง่และไร้ความรับผิดชอบก็ตาม เพราะนักมวยก็มีครอบครัว มีลูกๆ ต้องเลี้ยงดู หากคนเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นชกก็ไม่มีเงิน ขณะที่ โรบิน ซาโมรา (RobinZamora) หนึ่งในนักมวยที่ขึ้นชก กล่าวเสริมว่า การชกมวยในนิการากัวได้ค่าตอบแทนไม่สูงนัก แต่หากได้ออกไปชกในต่างประเทศจะทำเงินได้มากขึ้น
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ดินแดนที่มี “มวยไทย” เป็นกีฬาประจำชาติ “นักมวยไทยในไทยนั้นก็มีพื้นเพไม่ต่างจากนักมวยสากลในนิการากัว นั่นคือมักมาจากครอบครัวยากจนหาเช้ากินค่ำ” เห็นได้จากหลายปีที่ผ่านมา แม้คนในแวดวงสาธารณสุขรวมถึงนักรณรงค์ด้านสิทธิเด็กจะเรียกร้องให้ยุติการนำเด็กมาชกมวยไทยเนื่องจากห่วงผลกระทบต่อสมอง แต่ก็จะถูกคัดค้านทั้งจากอดีตนักมวย เจ้าของค่ายมวย ไปจนถึงนักมวยรุ่นเยาว์และครอบครัวของนักมวย เพราะเป็นช่องทางดิ้นรนเพื่อยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของตนเองและครอบครัวให้ดีขึ้น
แต่เมื่อเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์อื้อฉาวมาจากการจัดชกมวยเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค. 2563 ทำให้กลายเป็นพื้นที่ระบาดใหญ่และนำไปสู่มาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) ทั่วประเทศ ปิดกิจการแทบทุกประเภทให้เหลือเท่าที่จำเป็นยาวนานนับเดือน “คนในวงการมวยไทยกลายเป็นจำเลยสังคม”ถึงขั้นที่ตลอดช่วงเดือนดังกล่าวต้องออกมาขอความเห็นใจ อย่าประณามเพราะไม่มีใครอยากให้โรคระบาดเกิดขึ้น
17 เม.ย. 2563 เว็บไซต์ นสพ.Daily Mail ของอังกฤษ เสนอข่าว “Coronavirus KO: Thai fighters in despair as rings fall silent” เล่าเรื่องความลำบากของนักมวยไทยในวันที่ไม่มีเวทีให้ขึ้นชก สูญเสียรายได้ที่เคยได้รับเดือนละหลักหมื่นบาทซึ่งส่วนใหญ่ถูกส่งกลับไปเลี้ยงครอบครัว นักมวยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยาของรัฐเนื่องจากไม่มีสถานะเป็นพลเมืองไทยแม้จะเกิดและเติบโตบนแผ่นดินไทยก็ตาม นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจของนักมวย เนื่องจากส่วนใหญ่ฝึกซ้อมตั้งแต่เด็กไม่เคยทำอย่างอื่น การไม่ได้ชกมวยก็เหมือนชีวิตไร้เป้าหมาย
อีกด้านหนึ่ง พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวหลังการประชุมคณะกรรมการกีฬามวย ครั้งที่ 2/2563 เมื่อ 10 เม.ย. 2563 โดยเปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการปรับแผนงบประมาณประจำปี 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย จำนวน 25,642,000 บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาให้กับนักมวยและผู้ฝึกสอนที่ได้รับผลกระทบและได้ขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย
รวมถึง ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) กล่าวว่า ประเด็นสำคัญในการประชุมหารือคือการพิจารณาให้ความช่วยเหลือนักกีฬาและบุคลากรในวงการมวยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด-19ได้มีการเร่งรัดการดำเนินการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือนักมวยกับผู้ฝึกสอน โดย 2 กลุ่มนี้กกท. จะเร่งให้การช่วยเหลือ โดยเร่งประสานข้อมูลกับกระทรวงการคลังตรวจสอบรายชื่อที่ได้รับการช่วยเหลือ เงินจำนวน 5,000 บาท จากโครงการรัฐบาล เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน โดย กกท. จะดูแลในส่วนที่ไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการของรัฐบาล
ล่าสุด 1 พ.ค. 2563 มีรายงานข่าวว่า กระทรวงการคลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ไปรวบรวมข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 จำนวน 3 กลุ่ม หนึ่งในนั้นคือ “กลุ่มเครือข่ายทางวัฒนธรรม และบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกีฬา” ซึ่งนักมวยจะอยู่ในกลุ่มนี้โดยมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้รับผิดชอบ กลุ่มนี้จะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เช่นเดียวกับกลุ่มอาชีพอิสระ (แรงงานนอกระบบ)
ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ช่วงผ่อนคลายให้กิจการต่างๆ กลับมาเปิดบริการได้ตามลำดับและจะมีการประเมินผลทุกๆ 14 วัน ทั้งนี้ หากไม่มีการระบาดใหญ่ระลอก 2 สนามมวยซึ่งถูกจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงน่าจะได้กลับมาเปิดอีกครั้งราวกลางเดือน มิ.ย. 2563 แต่ก็คาดว่าคงจะเป็นการเปิดแบบ “นิว นอร์มอล (New Normal)” ในหลายแนวทาง เช่น ชกแบบไม่มีผู้ชมในสนาม หรือลดจำนวนที่นั่งเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างผู้ชม อย่างต้นแบบที่นิการากัวก็เป็นได้!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี