“การ์ดอย่าตก” วลีจากแวดวงหมัดๆ มวยๆ ที่หมายถึง “อย่าประมาท” กลายเป็น “คำฮิตติดหู”คนยุคนี้ไปแล้วจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แต่ละคนจะต้องตระหนักในการป้องกันไม่ให้ติดโรค ถึงกระนั้น “ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ในความเป็นจริงจะทำได้ตามทฤษฎี” อาทิสำหรับกรณีของประเทศไทย แม้คนไทยจะสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกกันมากกว่าร้อยละ 90 รวมถึงล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์กันเป็นนิสัย แต่ในเรื่องของ “การเว้นระยะห่าง
ทางสังคม (Social Distancing)” 1-2 เมตร พบว่าทำได้ไม่มากนัก
โดยเฉพาะใน “กรุงเทพมหานคร” ที่ผู้คนจำนวนมากใช้บริการ “ขนส่งมวลชน” เห็นได้จากเมื่อรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) ทยอยให้กิจการต่างๆ กลับมาเปิดทำการได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 2563เป็นต้นมา ภาพของผู้คนแออัดเบียดเสียดทั้งบริเวณท่าสถานี และในยานพาหนะขนส่งมวลชนทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้าเรือด่วน ซึ่งคุ้นเคยกันดีสำหรับ “ชาวกรุงเทพฯ” ก็กลับมาอีกครั้ง และเมื่อทางการเห็นแล้วไม่สบายใจ มีทั้งสั่งการและขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการขอให้เว้นระยะห่างประชาชนก็ไม่พอใจเพราะต้องรอรถนานขึ้น
ทีมงาน “สกู๊ปแนวหน้า” สำรวจชีวิตผู้คนในกรุงเทพฯ ที่ใช้บริการขนส่งมวลชน อาทิ ฐิติพงษ์ ร้อยพวง อายุ 30 ปี เล่าว่า เดินทางไปทำงานด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ เนื่องจากมีความรวดเร็วในการไปทำงาน ซึ่งการรักษาระยะห่างเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เนื่องจากเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงแม้จะเสียเวลาในการเดินทางเพิ่มบ้างในก่อนช่วงผ่อนปรนเปิดกิจการ ถึงแม้จะมีการผ่อนปรนให้มีการเปิดกิจการแต่มองว่าประชาชนส่วนใหญ่มีการเตรียมพร้อมและป้องกันตัวอยู่แล้ว การรักษามาตรการต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่รักษาคงเดิมได้
“ด้านของการเดินทางมองว่าผลกระทบของการเดินทางในขณะนี้ยังไม่มี เนื่องจากทางรัฐบาลได้เพิ่มระยะเวลาเคอร์ฟิวจาก 22.00-04.00 น. เป็น 23.00-04.00 น. ซึ่งปกติก็กลับถึงที่พักก่อนช่วงเวลาเคอร์ฟิวอยู่แล้ว ซึ่งขณะเวลานี้ถือว่ารัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมแล้ว แต่เพิ่มเติมคืออยากให้หาทางจัดการไวรัสตัวนี้ไป จะได้ทำมาหากินกันต่อไป” ฐิติพงษ์ กล่าว
นั่นคือกรณีของรถไฟฟ้า แต่สำหรับ “รถเมล์” นั้นดูจะมีปัญหามากกว่า อาทิ ศิริญากร วงษาเภา อายุ 25 ปีกล่าวว่า การโดยสารรถเมล์ยังไม่ค่อยมีการเว้นระยะเท่าที่ควรในเวลาเร่งด่วน ซึ่งต่างจากรถไฟฟ้าที่ยังมีการเว้นระยะห่างบ้างถึงแม้จะเป็นเวลาเร่งด่วนก็ตาม “การรักษาระยะห่างอาจจะรักษาได้บางพื้นที่ เพราะในบางพื้นที่ถูกละเลยมองข้ามไป” เช่น พื้นที่ในตลาดยังมีการวางแผงขายของที่ไม่เว้นระยะห่าง รถสองแถวยังคงต้องใกล้ชิดกับผู้อื่น แต่มาตรการเว้นระยะห่างบนรถเมล์ด้วยการจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ก็ส่งผลกระทบกับการเดินทางมาก
เช่นกัน
“จากที่รอรถประมาณ 10 นาที ต้องรอรถถึง 30 นาทีซึ่งรถอาจจะเต็มเพราะมาตรการรักษาระยะห่าง จึงต้องรอรถคันที่ว่างจึงทำให้เสียเวลามากขึ้น จึงควรมีมาตรการรักษาระยะห่างที่ไม่สร้างความลำบากให้แก่ผู้ที่จำเป็นต้องออกมาทำงาน ตนมองว่าสิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่รับผลกระทบให้ครอบคลุมมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้านของการขนส่งควรจะมีการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้ผู้ใช้บริการต้องรอเป็นเวลานาน เนื่องจากบางครั้งรถเต็มจะไม่จอดรับ” ศิริญากร ระบุ
เช่นเดียวกับ ตวงพร เหมหาญ อายุ 50 ปี เล่าว่า จำเป็นต้องใช้บริการรถเมล์เป็นประจำ เพราะต้องออกมาซื้อของเพื่อไปทำงานที่บ้าน “บางทีคนยืนรอรถเมล์พอเจอรถเต็มก็ไม่รับ” ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก เพราะตามสถานที่ต่างๆ มีการรักษาความสะอาดตลอด “อยากให้ทางรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องมีการแก้ไขเรื่องรถโดยสารอยากให้ปล่อยรถเมล์ให้ถี่มากขึ้น” เพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนผู้โดยสารที่ต้องรอ ซึ่งบางทีก็นานเป็นชั่วโมง
รวมถึง ไอริน บุญภูงา อายุ 26 ปี ที่เล่าว่า ตั้งแต่มีมาตรการรักษาระยะห่าง การรอรถเมล์ก็นานมาก“บางทีรอ 2-3 คัน ยังไม่ได้ขึ้นเพราะรถเต็ม” แต่ก็กังวลเช่นกันว่า “หากปลดล็อกดาวน์ทั้งเมืองให้คนกลับมาทำงานได้ มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมบนรถเมล์อาจทำได้ยาก เพราะสถานการณ์ช่วงเวลาเร่งด่วนก่อนหน้านี้ ปริมาณรถเมล์ก็แทบไม่เพียงพอต่อผู้โดยสารอยู่แล้ว” ทางผู้ที่เกี่ยวข้องควรปล่อยรถเมล์ให้ถี่กว่านี้ เช่น 15 นาทีต่อคัน ก็ยังดี เพราะช่วงเย็นมีผู้ใช้บริการเยอะเนื่องจากเป็นเวลาเลิกงาน อยากให้รัฐบาลคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย
ชีวิน อริยะสุนทร ผู้ประสานงานเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย ทุกคนเข้าถึงได้ ยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน 5 ข้อ ซึ่งรวมถึง “ขอให้มีการจัดระบบขนส่งสาธารณะให้เพียงพอและมีความถี่ที่สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการ” โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้าและตอนเย็น อีกทั้ง “ขอให้มีการจัดให้มีรถโดยสารประจำทาง และปรับเปลี่ยนแผนการเดินรถให้ครอบคลุมและทั่วถึงในแต่ละพื้นที่ให้มากขึ้น” โดยเฉพาะชานเมืองและในเส้นทางที่ผู้ให้บริการรถร่วมเอกชนยุติการให้บริการลงเพราะวิกฤติไวรัสโควิด-19
จากปัญหาข้างต้น คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า “ไวรัสโควิด-19 ทำให้ปัญหาที่ดำรงอยู่มานานถูกมองเห็นได้ชัดขึ้น” สำหรับกรุงเทพฯ เดิมทีก็มีปัญหา “เมืองโตเดี่ยว” ดึงดูดคนจากทั่วสารทิศให้เข้ามาแสวงหาโอกาสเนื่องจากมีแหล่งงานหลากหลายกว่าอีก 76 จังหวัด ที่เหลือ เห็นได้จากการคาดการณ์ว่า กรุงเทพฯ มีประชากรตามทะเบียนบ้าน 5 ล้านคน แต่มีประชากรแฝงจากจังหวัดอื่นอีก 8-10 ล้านคน
กับปัญหา “เมืองเติบโตแบบไร้ทิศทาง” ใครอยากตั้งบ้านเรือนตรงไหนก็ทำได้ เกิดชุมชนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องตามตรอกซอกซอยและถนนสายรอง ทำให้การวางแผนระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกเพียงพอทั่วถึงทำได้ยาก คนที่พอมีกำลังทรัพย์จึงหันไปซื้อมอเตอร์ไซค์ หรือรถยนต์ส่วนตัวมาขับขี่ กลายเป็นปัญหา “การจราจรติดขัด” ที่กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกด้านเมืองที่มีการจราจรเข้าขั้นเลวร้ายเสมอมา และเมื่อรถเมล์ต้องวิ่งร่วมกับยานพาหนะอื่นๆ แม้นายท่าจะปล่อยรถตรงเวลาเพียงใด สุดท้ายก็ไปติดบนท้องถนนอยู่ดี
เมื่อไวรัสโควิด-19 มาเยือน และรัฐบาลเข้มงวดเรื่องมาตรการเว้นระยะห่าง ผู้ใช้รถเมล์จึงยิ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงขึ้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี