อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) ในวิกฤติไวรัสโควิด-19 นั่นคือ “การเปิดภาคเรียน”เพราะดูแล้ว “การเรียนออนไลน์คงไม่ไหว” จากสารพันปัญหาที่ปรากฏในข่าวโดยเฉพาะข้อจำกัดของครัวเรือนระดับหาเช้ากินค่ำในช่วงทดลองที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “หลากชีวิต หลายผลกระทบ : สำรวจผลกระทบของโควิด-19 ต่อคนต่างกลุ่มในสังคมไทย (EP.2 แนวทางการศึกษาปฐมวัยสู่วัยรุ่น)” จัดโดย ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง คณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยกตัวอย่างงานวิจัยของ เจมส์เฮ็คแมน (James Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลผู้พบว่าการลงทุนพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้นคุ้มค่าที่สุดและไม่มีช่วงวัยไหนที่คุ้มไปกว่านี้อีกแล้ว โดยอธิบายว่า สิ่งที่เป็นข้อบ่งชี้ความคุ้มค่าคือ “การปลูกฝังพฤติกรรมบางอย่างที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต” แต่ปัญหาคือ “การสร้างพฤติกรรมทำได้ด้วยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนจริงๆ เท่านั้น” การเรียนออนไลน์อาจไม่สามารถทดแทนได้
“ออนไลน์มันแทบจะยากมากที่จะมาสอนเด็กว่าคุณเป็นคนอย่างนี้นะอย่างนั้นนะ การเป็นอะไรก็ตามมันเกิดจากประสบการณ์ จากสิ่งที่เขาสัมผัส จากสิ่งที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ ผมว่าอันนี้น่าเป็นห่วง และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องพยายามที่จะเปิด (ภาคเรียน) ให้ได้ ให้เด็กได้มีโอกาส ขณะเดียวกันก็ต้องให้ผู้ปกครองเลือกได้ ผู้ปกครองที่ไม่ประสงค์ที่จะส่งลูกมาด้วยความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ส่ง” อาจารย์วีระชาติ กล่าว
อีกการทดลองหนึ่งที่มีผู้ทำไว้ในปี 2546 (Kuhl , Tsao และ Liu) ว่าด้วยการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ “การทดลองนั้นใช้อาจารย์คนเดียวกัน แต่แบ่งเป็น 1.เด็กที่เรียนกับอาจารย์แบบเจอหน้าเจอตัวเป็นๆ 2.เด็กที่เรียนผ่านวีดีโอที่บันทึกการสอนของอาจารย์ไว้ และ 3.เด็กที่ไม่ได้เรียนไม่ว่าวิธีการใดๆ พบว่า เด็กที่เรียนผ่านวีดีโอนั้นพัฒนาการด้านภาษานั้นๆ ไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนไม่ว่าวิธีการใดๆ” ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงข้อจำกัดในการเรียนออนไลน์โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก
เมื่อไปดูสภาพครอบครัวไทยที่จำนวนมากพ่อแม่ไปทำงานในเมืองใหญ่ (เช่น กรุงเทพฯ) แล้วให้ลูกอยู่ในความดูแลของปู่ย่าตายายในชนบท พบว่า “วิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้สูงวัยในครัวเรือนได้รับเงินที่คนวัยทำงานส่งกลับมาลดลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) ปิดกิจการต่างๆ เพื่อสกัดโรคระบาด และนั่นหมายถึงคนจำนวนมากก็ไมได้ทำงานจึงไม่มีรายได้” และแม้คนวัยทำงานจะได้รับเงินเดือนละ 5,000 บาท ตามมาตรการเยียวยา (เราไม่ทิ้งกัน) เงินจำนวนนี้ก็ต้องใช้เพื่อรักษาชีวิตตนเองก่อน
“กระทรวงบอกว่าออนไลน์เป็นทางเลือก เท่าที่ผมคุยกับคุณครูในพื้นที่ ปรากฏว่าในพื้นที่ ข้อความที่บอกว่าเป็นทางเลือกยังไปไม่ถึง คุณครูยังอยู่ในโหมด (Mode) ที่ถูกบังคับอยู่ ผมว่าอันนี้มันต้องถูกแก้ไขในสังคม การสื่อสารทำไมคนละเรื่องคนละราว ครูยังถูกบังคับว่าต้องรายงานและต้องไปจี้ผู้ปกครอง ทั้งที่จริงๆ เราไม่ควรจะต้องไปสร้างภาระให้ผู้ปกครองมากขึ้น มันควรเป็นอีกหลักการที่ต้องตระหนัก ถ้าเราจะช่วยเขา ช่วยโดยไม่เพิ่มภาระให้เขา ภาระเป็นสิ่งที่เราไม่อยากนำไปสู่ให้เขาเลยช่วงนี้” อาจารย์วีระชาติ ระบุ
ด้าน ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การปิดเทอมในปีนี้ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ก.ค. 2563 ถือว่านานกว่าปกติเป็นเท่าตัว จึงได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 12,460 คน คละกันทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง ครูและผู้บริหารโรงเรียน โดยส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายโรงเรียนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำให้มีการกระจายตัวของกลุ่มตัวอย่างในทุกภาคทั่วประเทศ ว่าด้วยผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
ซึ่งในส่วนของผลกระทบด้านการศึกษา ครูและผู้ปกครองกังวลคล้ายกันคือ กลัวติดเชื้อ กลัวผลกระทบเรื่องค่าเล่าเรียน แต่ในส่วนของผู้ปกครองจะมีเพิ่มเติมเรื่องกังวลไม่มีหน้ากากอนามัยให้บุตรหลานใส่ และเมื่อถามอีกว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง พบว่า 3 อันดับแรก คือ 1.ค่าอาหาร 2.ค่าครองชีพ 3.ค่าของใช้ที่จำเป็น (เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ) อนึ่ง สิ่งที่ กสศ. กังวลมี 3 เรื่อง ที่ต้องรอแก้ช่วงเปิดเทอม 1.ภาวะความรู้หดหาย (Learning Lost) 2.ปัญหาโภชนาการและสุขภาพกาย (Nutrition & Health Impact) และ 3.เศรษฐกิจครัวเรือน (Economics Impact)
“เหตุที่เกิดช่วงสงกรานต์อันหนึ่ง เราได้ลงสำรวจรอบๆ กรุงเทพฯ ในชานเมือง เราพบว่าค่าเช่าของคนมาทำงานในกรุงเทพฯ มันสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้เขา แล้วพอมีการปิดห้างปิดอะไรเหล่านี้ คนเหล่านี้เขารีบกลับบ้านเลย เพราะเขาไม่พร้อมจะมีรายจ่ายค่าเช่าบ้านเหล่านี้แล้ว แล้วเขาไม่ได้กลับแต่ตัวเขาเอง เขาเอาลูกไปด้วย ฉะนั้นโรงเรียนที่อยู่ในชายแดนของขอบชานเมืองกรุงเทพฯ คุณครูเริ่มกังวลแล้วว่าพ่อแม่จะยังไม่กลับมา พอไม่กลับมาก็ไม่เอาลูกมาด้วย แล้วเขาก็ไม่คิดว่าพ่อแม่จะเอาลูกไปฝากเลี้ยงที่อื่นที่ต่างจังหวัดด้วย
ฉะนั้นก็จะมีระยะเวลาตรงนี้ที่ถ้าการอพยพย้ายถิ่นที่เกิดในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาไม่ย้อนกลับมาในช่วงเปิดเทอม เพราะถ้าจะกลับมาได้ 1.พ่อแม่ต้องมั่นใจว่ากลับมาแล้วจะมีงานทำแน่ๆ มีงานทำพอที่จะครอบคลุม (Cover) ค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายซึ่งในกรุงเทพฯ ค่าครองชีพมันสูงอยู่แล้ว แล้วปกติคนกลุ่มนี้เวลาเปิดเทอมต้องไปโรงรับจำนำ ต้องพยายามหารายได้เพิ่มเติมมาให้ครอบคลุมรายจ่าย ถ้าเขาคิดคำนวณทั้งหมดแล้วพบว่าอย่างเพิ่งเอาลูกกลับโรงเรียนเลยดีกว่า อย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร” ไกรยส ยกตัวอย่าง
รอง ผจก.กสศ. กล่าวต่อไปว่า โรงเรียนแต่ละแห่งมีกรรมการสถานศึกษาซึ่งมีตัวแทนทั้งจากครู ผู้ปกครอง และองคาพยพอื่นๆ ในชุมชน คนเหล่านี้ควรได้รับข้อมูลที่เพียงพอสำหรับตัดสินใจว่าจะจัดการเรียนการสอนอย่างไร จัดสถานที่แบบไหน อนึ่ง “โรงเรียนคุ้นเคยกับการรับมือโรคระบาดอยู่แล้วเพราะเจอทุกปี เช่น โรคมือเท้าปาก” รู้ว่าต้องทำอย่างไรซึ่งรวมถึงการเปิดแล้วต้องปิดก็ปิดแล้วมาเรียนชดเชยภายหลัง รวมถึงมีปัจจัยให้พิจารณา เช่น โรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนไม่มาก อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีผู้ติดเชื้อมาแล้วนานพอสมควร อาจใช้กติกาที่ยืดหยุ่นได้บ้าง
เพราะโควิด-19 เป็นเหตุการณ์ใหม่..ทุกฝ่ายจึงต้องการพื้นที่เรียนรู้ ทดลองและลงมือทำ ภายใต้แนวปฏิบัติที่หากผิดพลาดจะไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กและผู้ปกครองมากจนเกินไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี