หากเอ่ยถึง “คนกลางคืน” หรือผู้ประกอบอาชีพในสถานบันเทิงประเภทต่างๆ สำหรับสังคมไทยแล้วด้านหนึ่งคนเหล่านี้คือผู้ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว-บริการ อาทิ เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เคยเสนอข่าว Pandemic dims lights on Thailand’s $5bn nightlife sector เมื่อวันที่ 23เม.ย. 2563 ระบุว่า มูลค่าธุรกิจสถานบันเทิงยามราตรีของไทยที่ทำได้ต่อปีนั้นสูงถึง 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท
แต่อีกด้านหนึ่ง ด้วยความที่อาชีพกลุ่มนี้ทำงานอยู่ในสถานที่หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งขัดต่อวิถีจารีตที่อิงกับศีลธรรมของศาสนาที่มีคำสอนให้ละเว้นจากสิ่งมึนเมา ทำให้อาชีพกลุ่มนี้ดูจะไม่ค่อยได้รับการยอมรับมากนักอยู่แล้วในยามปกติ และยิ่งปัจจุบันที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งสถานบันเทิงทั้งไทยและต่างประเทศ ล้วนมีรายงานว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง ยิ่งทำให้มีเสียงเรียกร้องแบบสุดโต่งจากบางส่วนของสังคมว่าปิดถาวรไปเลยก็ดี นอกจากจะป้องกันโรคระบาดแล้วยังแก้ปัญหาอบายมุขแหล่งอโคจรได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศที่แม้จะมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงกว่าไทย แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับคนกลางคืน พยายามหาทางให้กลับมาเปิดได้ภายใต้มาตรการบางอย่าง อาทิ “เกาหลีใต้” (จากข่าว South Korea Mandates QR Codes to Log Customers After Nightclub Coronavirus Outbreak โดยสำนักข่าว NDTV ของอินเดีย วันที่ 2 มิ.ย. 2563) ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์นำมาซึ่งการระบาดระลอก 2 ของไวรัสโควิด-19 จากหลายจุดทั้งสถานบันเทิง ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงกิจการขายตรงถึงบ้าน (door-to-door sales) บางเจ้า
ซึ่งในส่วนของสถานบันเทิงนั้นเกิดการระบาดขึ้นที่ย่านอีแทวอน ในกรุงโซล ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. 2563 ทำให้ทางการต้องสั่งปิดสถานบันเทิงทุกแห่งทั่วเมืองหลวงของเกาหลีใต้ พร้อมขอความร่วมมือให้สถานบันเทิงในเมืองอื่นๆ ปิดด้วย (ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี) กระทั่งต่อมารัฐบาลเกาหลีใต้ “กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. 2563 เป็นต้นไป ผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการไนท์คลับ บาร์ร้านคาราโอเกะ ดิสโก้หรือสถานที่เต้นรำที่เปิดตอนกลางวัน โรงยิมหรือฟิตเนสที่มีการออกกำลังกายเป็นกลุ่ม รวมถึงงานคอนเสิร์ตที่จัดในอาคารปิด
นอกจากนี้แต่ละท้องที่อาจกำหนดสถานที่อื่นเพิ่มเติม เช่น ห้องสมุด โรงพยาบาล ร้านอาหาร ศาสนสถาน ต้องรายงานตัวตนด้วยการสแกน QR Code” ข้อมูลการรายงานตัวนั้นจะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลประกันสังคมสำหรับถูกใช้ในการติดตามสอบสวนโรคเท่านั้น และข้อมูลนี้จะถูกลบโดยอัตโนมัติทุกๆ 4 สัปดาห์ โดยสาเหตุที่ต้องบังคับสแกน QR Code เนื่องจากการลงบันทึกด้วยลายมือพบว่าไม่สมบูรณ์ ทำให้ยากต่อการติดตามกลุ่มเสี่ยงจนครบทุกคน
“ญี่ปุ่น” (จากข่าว Tokyo’s red-light district to be tested for coronavirus after new spike โดยเว็บไซต์ นสพ.The Guardian ของอังกฤษ วันที่ 9 มิ.ย. 2563) หลังรัฐบาลประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นรายพื้นที่ โดยกรุงโตเกียวเป็นเมืองสุดท้ายที่ถูกยกเลิกเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. 2563 สถานบันเทิงก็ทยอยกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่เมื่อพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่แม้จะยังไม่ถึงขั้นระบาดใหญ่ แต่การที่หลายรายทำงานในสถานบันเทิงยามค่ำคืน ก็นำไปสู่แนวคิด “ให้คนกลางคืนตรวจหาเชื้อโควิด-19 อย่างสม่ำเสมอ”
เนื่องจาก “อาชีพกลุ่มนี้เป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตามแนวทางการเว้นระยะห่างทางสังคม” โดยคู่มือแนวปฏิบัติของสถานบันเทิงเพื่อลดความเสี่ยงโรคระบาดที่จัดทำโดยภาครัฐ น่าจะมีความชัดเจนในปลายสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ยังมีกรณีของ “จังหวัดโอซากา กำหนดให้โรงยิมหรือฟิตเนส บาร์ ไนท์คลับหรือร้านอาหารที่มีการจัดแสดงดนตรีสด ต้องจัดทำระบบลงทะเบียนผู้ใช้บริการด้วย QR Code” (จากข่าว Osaka to Lift Closure Requests for Live Music Clubs, Others Mon. โดยสำนักข่าว Jiji Press ของญี่ปุ่น วันที่ 28 พ.ค. 2563) เพื่อติดตามกลุ่มเสี่ยงกรณีพบผู้ติดเชื้อ
“จีน” (จากบทความ How will we party post-pandemic? โดยสำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา วันที่ 29 พ.ค. 2563) จุดเริ่มต้นการระบาดของไวรัสโควิด-19 จากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ นำไปสู่การปิดเมืองนานกว่า 2 เดือน นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ม.ค. 2563 ก่อนจะทยอยเปิดทีละเมือง และอู่ฮั่นเป็นเมืองสุดท้ายที่เปิดในวันที่ 8 เม.ย. 2563 ซึ่งกรณีสถานบันเทิงที่กลับมาเปิดทำการ มีทั้งการวัดอุณหภูมิ ลงทะเบียนเพื่อติดตามกรณีเป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากพบผู้ติดเชื้อในสถานที่นั้น มีการเปลี่ยนมาใช้ภาชนะใส่อาหาร-เครื่องดื่มแบบครั้งเดียวทิ้ง และล้างห้องน้ำทุกๆ ชั่วโมง
“สเปน” (จากข่าว Spain’s bars and nightclubs can reopen under Phase 3 on Monday, but no dancing allowed โดยเว็บไซต์ นสพ.El Pais ของสเปน วันที่ 6 มิ.ย. 2563)ตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 2563 เป็นต้นไป บาร์และไนท์คลับที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองต่างๆ ซึ่งรวมแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศ ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดทำการได้ภายใต้ข้อกำหนด เช่น สามารถรับลูกค้าได้เพียง 1 ใน 3 จากความจุเดิมในภาวะปกติ แต่ไม่อนุญาตให้มีการเต้นรำ
“ฝรั่งเศส” (จากข่าว Parisians flock for a drink at midnight as France reopens its beloved cafes and restaurants after 11 weeks of coronavirus lockdown โดยเว็บไซต์ นสพ.Daily Mail ของอังกฤษ วันที่ 2 มิ.ย. 2563) บาร์ ร้านอาหารและร้านกาแฟ ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดอีกครั้ง ยกเว้นในกรุงปารีส อนุญาตให้เปิดในลักษณะให้บริการกลางแจ้งเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. 2563 เป็นต้นไป ซึ่งในวันเดียวกัน รัฐบาลเมืองน้ำหอม มีการเปิดให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “StopCovid” เพื่อเฝ้าระวังการระบาดสำหรับผู้ที่เข้าไปใช้บริการสถานที่ต่างๆ นี้ด้วย
“เบลเยียม” (จากข่าว Belgium to open bars and restaurants but not nightclubs โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ วันที่ 3 มิ.ย. 2563 ตามลำดับ) “มีการแบ่งประเภทสถานบันเทิง โดยให้บาร์ได้เปิดก่อนส่วนไนท์คลับยังคงปิดต่อไป” เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 2563 แต่ร้านที่เปิดต้องมีมาตรการลดความเสี่ยง เช่นพนักงานต้องสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก จัดที่นั่งทั้งต่อโต๊ะและระหว่างโต๊ะไม่ให้แออัด เป็นต้น
จากตัวอย่างข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า “ธุรกิจกลางคืน (รวมถึงที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ไม่ได้ถูกละเลยในแผนการผ่อนคลายล็อกดาวน์” แม้จะเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงเพราะเป็นกิจกรรมที่ดำเนินมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมได้ยากหรือไม่ได้เลย แต่ก็ให้กลับมาเปิดภายใต้มาตรการลดความเสี่ยงในสถานที่นั้นๆ เท่าที่จะทำได้ ควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ เช่น ต้องสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกเมื่อใช้บริการระบบขนส่งมวลชน ตลอดจนกิจกรรมชุมนุมรวมกลุ่มที่ไม่ใช่งานเลี้ยงสังสรรค์ อาทิ การชมภาพยนตร์ การประชุม เพื่อจำกัดวงระบาดให้แคบลง
เพราะอย่างไรเสีย “คนกลางคืน” ก็เป็นอีกกลุ่มอาชีพที่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติเหมือนกัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี