ชื่อของบทความชุดนี้ ที่ตีพิมพ์ในแนวหน้ามาหลายสัปดาห์แล้ว ก็เพื่อจะให้คนไทยได้เตรียมตัวกันไว้ ว่าหลังสงครามกับโควิด-19 แล้ว เราควรจะเตรียมตัวเตรียมใจกันอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับภัยพิบัติครั้งต่อไป ซึ่งยังไม่ทราบว่า เมื่อใดจะมีมาอีก และจะมาในรูปใด หรือจะร้ายแรงแค่ไหน
ที่เราต้องเตรียมยืนอยู่บนขาของตนเองให้ได้ (Thailand self dependence) ก็เพราะเราเห็นว่าบรรพบุรุษของเราชาวไทย
ก็ได้ยืนหยัดต่อสู้ภัยพิบัติต่างๆ มาอย่างอาจหาญ เป็นเวลากว่า 800 ปี จนกระทั่งเราสามารถรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยมาเป็นประเทศไทย ยืนยงอยู่ได้จนปัจจุบันนี้ มีความเป็นอิสรภาพ มีอุตสาหกรรมการผลิตชั้นดี มีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
เป็นเลิศ มีทรัพยากรมากมายทั้งเกษตรกรรม ข้าวปลา อาหารอุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็ไม่เห็นแก่ตัว รักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันดี ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม มีอัธยาศัยไมตรีอันดีกับอาคันตุกะชาวต่างประเทศ จนทุกคนอยากมาเที่ยวเมืองไทย มาพำนักอาศัยอยู่ด้วยกันกับคนไทย มีการแจกอาหารกล่อง และถุงยังชีพให้ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า รวมไปถึงนักท่องเที่ยว
ชาวต่างประเทศที่ตกค้าง กลับบ้านไม่ได้ ก็ต้องซาบซึ้งกับไมตรีจิตของคนไทยอย่างไม่มีวันลืม
แล้วเราจะไม่รักเมืองไทย ถนอมเมืองไทย ได้อย่างไรแต่ในชนจำนวนมาก ก็คงจะมีบ้างเป็นส่วนน้อย ที่รักตนเองมากกว่ารักญาติพี่น้อง และพรรคพวกของตน มากกว่าส่วนรวม มีโอกาสเมื่อใดเป็นต้องโกง ต้องคอร์รัปชั่น ต้องหาทางทำลายความมั่นคง และความสงบสุขของประเทศ เพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจเสียเองเขาพวกนี้ไม่ใช่คนไทยที่ดี เพราะคนดี ย่อมเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
เพราะเหตุดังนี้ คนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนดี จึงต้องช่วยกันรักเมืองไทย ช่วยกันถนอมประเทศไทย ชาติไทย คนไทยที่ด้อยโอกาสกว่า ให้ยืนหยัดอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่อายประเทศเพื่อนบ้านในย่านเอเชียหลายประเทศ ที่เขาก้าวไปไกลกว่าเราหลายประเทศ และหลายขุม
บทความที่ลงมาแล้ว จึงชักชวนให้คนไทย ที่รักเมืองไทยช่วยกัน
- หาทางส่งเสริม และกินใช้ผลิตภัณฑ์ไทย ไม่ว่าจะอาหารเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อุปกรณ์โทรคมนาคม อุปกรณ์เหล็กเส้นเหล็กแผ่น ฯลฯ
รัฐเองก็ต้องหามาตรการส่งเสริมเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และธุรกิจของไทย มิให้ถูกทำลายลงด้วยประเทศที่แข็งแกร่งกว่า และอย่าหลับตานั่งดูดาย เมื่อเห็น Nominee ในกิจการที่กฎหมายบังคับว่า ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่จะต้องเป็นคนไทย (เช่น กิจการบิน Low Cost ที่แฝงมาจากอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น)จนเป็นสาเหตุเหนึ่ง (ในหลายสิบสาเหตุ) ที่ทำให้สายการบินแห่งชาติ เกือบจะล้มละลายไป
- หาทางดึงดูดแรงงานต่างชาติ ทั้งนักวิทยาศาสตร์นักค้นคว้า นักวิจัย วิศวกร นักนวัตกรรม ไปจนถึงแรงงานพื้นฐานที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย เฉกเช่นบูรพกษัตริย์ในอดีตได้ทำมาแล้วอย่างได้ผล คนแขก คนฝรั่ง คนจีน ก็ได้กลายเป็นคนไทย ทำงานพัฒนาเมืองไทย กันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นงานราชการ งานธุรกิจ งานอุตสาหกรรมการผลิต ฯลฯ ใช้ชื่อไทย นามสกุลและราชทินนาม เป็นคนไทย 100% เต็มไปหมด
- หาทางส่งเสริมวัฒนธรรม ศิลปกรรม นาฏศิลป์ วิจิตรศิลป์ ให้ยืนยงอยู่ต่อไป เป็นที่นิยมของพสกนิกรทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย เกิดจิตสำนึกในความเป็นไทย นิยมประเพณีไทยต่างๆ ให้คงอยู่ตลอดไป และให้แรงงานต่างชาติซาบซึ้ง และรักไทยนิยมไทย สำนึกไทย ไปด้วยกัน และกลายเป็นคนไทยที่มีศักยภาพ เพิ่มผลผลิตให้แก่ประเทศไทยเพื่อเลี้ยงดูผู้สูงอายุอีก 15 ล้านคน ในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า
เรื่องเช่นนี้ รัฐบาล (ผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย) และ สส. (ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทย) รวมทั้งข้าราชการ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ จะต้องตระหนัก และช่วยกันวางแผนและกลยุทธ์ระยะยาว ให้งานอันละเอียดอ่อน (delicate) เช่นนี้ สัมฤทธิผลอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในอนาคต
------------------
ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งของมาตรการทางบวกที่คนไทย และนักการเมืองไทย จะต้องร่วมมือกันสร้างสรรค์
ขึ้น ด้วยความรัก และหวงแหนเมืองไทย และชาติไทยของเรา
------------------
แต่ก็มีประเด็นในทางลบอีกมากมายหลายข้อ ที่เมืองไทยจะต้องหาทางแก้ไขในระยะยาวเช่นกัน เพราะชาติใด ประเทศใด หากมีความแตกต่าง (differences) กันมาก ก็ย่อมจะมีความขัดแย้ง
ขาดความสามัคคี แยกกันเป็นก๊ก เป็นเหล่า บางครั้งอาจจะถึงกับรบราฆ่าฟันกัน กลายเป็นสงครามกลางเมืองได้
เรา (ประชาชนคนไทย) และผู้ใช้อำนาจประชาธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยทั้งสามอำนาจ (รัฐบาล, สส., ตุลาการ) จึง
จะต้องมีนโยบายระยะยาว และร่วมมือลดความแตกต่างในสังคมไทย ออกให้ได้มากที่สุด
วัตถุประสงค์ของการลดความแตกต่างก็คือ สร้างความกลมกลืนในชาติ ลดความแตกต่างในชาติ สังคมใดๆ หรือชาติใด
ก็ตาม จะอยู่ร่วมกันได้มั่นคงถาวร จะต้องมีความแตกต่างในสังคมให้น้อยที่สุด
ความแตกต่างในสังคมหนึ่ง หรือในชาติหนึ่ง มีมากมาย อาทิ
- ความแตกต่างทางเชื้อชาติ
- ความแตกต่างทางศาสนา
- ความแตกต่างทางภาษา
- ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
- ความแตกต่างทางฐานะ
- ความแตกต่างทางการศึกษา
- ความแตกต่างทางโอกาส
- ความแตกต่างทางลัทธิการเมือง
ฯลฯ
ในสังคมใด หากคนในสังคมนั้นมีแตกต่างกันมากมายหลายอย่าง และแต่ละอย่างก็แตกต่างกันอย่างรุนแรง สังคมนั้นจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
ความมั่นคงทางสังคมของชุมชน หรือของประเทศ ย่อมขึ้นอยู่กับการลดความแตกต่างในชาติให้เหลือน้อยที่สุด และพยายามสร้างความกลมกลืนในชาติขึ้น
ขอยกตัวอย่างคนจีนในอินโดนีเซีย ซึ่งเมื่อ 40 ปีก่อน มีความแตกต่างกับชาวพื้นเมืองมากมายทั้งด้าน เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม นอกจากนั้น ฐานะทางเศรษฐกิจก็ดีกว่า การศึกษาก็ดีกว่า แล้วในที่สุด ชาวอินโดนีเซีย ก็ลุกขึ้นไล่ฆ่าฟันชาวจีน จนต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ออกจากอินโดนีเซียเกือบหมด เมื่อร่วม 40 ปีก่อน
มาเลเซียก็เช่นกัน คนมาเลย์ และคนจีน ก็มีปัญหาความแตกต่างกันมากมาย ถึงขนาดต้องมีการปะทะกันในอดีตเป็นครั้งคราว ยังผลให้คนจีนต้องอพยพจากมาเลเซีย ไปอยู่ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นจำนวนมาก พวกที่เหลือยังกลายเป็นพลเมืองชั้น 2 ของมาเลเซีย มีลัทธิมีเสียงไม่เท่าพวกมาเลย์เองซึ่งเรียกว่า ภูมิบุตรา
ทำไมเหตุการณ์เช่นนี้จึงเกิดขึ้นที่ประเทศเพื่อนบ้านเราทั้งสองแห่ง เพราะ เกิดมีเจ้าตัว “ความแตกต่าง (differences)” นั่นเอง และความแตกต่างนั้นก็มีมากมายหลายอย่าง ทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม ฐานะ และโอกาส
เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่เกิดขึ้นในเมืองไทย เพราะอะไร เพราะบูรพกษัตริย์ของเรา ท่านทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงมอง
การณ์ไกล ท่านจึงมีกุศโลบายในการสร้างความกลมกลืน หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Assimilation ท่านสร้างอย่างไร ท่านทรงพยายามลดความแตกต่างให้น้อยลง บางอย่างที่แก้ไขไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไป อาทิ เชื้อชาติ ศาสนา เป็นต้น ส่วนด้านภาษา วัฒนธรรมการศึกษา เป็นเรื่องที่จะสร้างความกลมกลืนกันได้ ท่านก็ทรงดำเนินการ จะเห็นได้ว่าในอดีต คนต่างชาติที่ทำความดีงามไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย เปอร์เซีย ยุโรป จีน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนหลวง พระ พระยา หรือแม้แต่เจ้าพระยา ฉะนั้น ชาวฮอลแลนด์ คือ มิสเตอร์ฟัลคอน จึงเป็นเจ้าพระยาวิชเยนทร์มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชาวเปอร์เซีย คือ เช็คอาหมัด จึงเป็นเจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี มาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ และลูกหลานได้จงรักภักดีต่อประเทศ ต่อราชวงศ์ จนกลายเป็นพระยาบรมมหาศรีสุรวงศ์ ต้นตระกูลบุนนาค
จะเห็นได้ว่า “นโยบายแห่งความกลมกลืน” โดยพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาได้สร้างความมั่นคงในชาติให้แก่เราเป็นอย่างดี เพราะเป็นนโยบายที่พยายามขจัดความแตกต่างในเชื้อชาติให้เหลือน้อยที่สุด แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเมื่อปี พ.ศ.2488 ได้มีความแตกต่างทางลัทธิทางการเมืองที่เกิดขึ้นในโลก ทำให้เกิดความแตกต่างกันอย่างรุนแรงในความคิดทางการเมือง ถึงกับต้องรบราฆ่าฟันกันทั้งในระดับภูมิภาค และในระดับประเทศ เช่น เรายังคงจำได้ถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ที่ เขาค้อ ภูพาน ในประเทศของเราเอง และสถานการณ์ไม่สงบทางภาคใต้ในปัจจุบันนี้ ก็เกิดจากความแตกต่างทางเชื้อชาติ ทางวัฒนธรรม ทางภาษา ทางศาสนา และทางการศึกษาประกอบกับความล้มลุกคลุกคลานของการเมืองและรัฐบาล ทำให้นโยบายของภาครัฐ ที่ควรจะสร้างความกลมกลืนให้ต่อเนื่องแต่กลับลดน้อยถอยไป จนเกิดความแตกต่างมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างของความไม่กลมกลืน ทำให้อาณาจักรต้องล่มสลาย หรือต้องอยู่ในภาวะสงคราม ยังมีอีกมากมายหลายแห่ง อย่างยูโกสลาเวีย ขณะนี้ก็ได้แตกออกเป็น เซอร์เบีย บอสเนียโครเอเชีย มาเซโดเนีย สหภาพโซเวียต (USSR) ก็ต้องล่มสลาย และแยกออกเป็น รัสเซีย, ลิทัวเนีย, เอสโตเนีย, ยูเครน, คาซัคสถาน,อุซเบกิสถาน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ต้องสู้รบกันอยู่ก็เช่นที่เชชเนีย เป็นต้น ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถจะกลมกลืนกันได้ เพราะมีความแตกต่างกัน ทั้งด้านชาติ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ซึ่งเมื่อแตกต่างกันมาก ก็ทำให้พลเมือง มีชั้น 1 ชั้น 2 ไม่เท่าเทียมกัน โอกาสในการศึกษา ในการประกอบอาชีพก็ไม่เท่าเทียมกัน จึงทำให้จำเป็นต้องแยกออกจากกัน
การสร้างความกลมกลืนให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ทำได้ ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้วว่าบูรพกษัตริย์ของไทย ได้พยายามสร้างความ
กลมกลืนให้เกิดแก่คนในชาติ ไม่ว่าจะมาจากเชื้อชาติใด ศาสนาใด หรือภาษาใด การกลมกลืนนี้จะต้องเป็นการร่วมมือกันทั้ง 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายเจ้าของเดิม เช่นว่า คนไทยก็ต้องพยายามนิยมไทย สำนึกไทยและรักไทยไว้เสมอ รวมทั้งพยายามชักจูงผู้มาใหม่ให้มานิยมไทย สำนึกไทย และรักไทยด้วยกัน จึงจะเกิดมีความกลมกลืนกันได้ต่อไปส่วนผู้ที่มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพเข้ามา เช่น ญวน พม่า อินเดีย บังกลาเทศ ไต้หวัน หรือ ชาวยุโรปก็ตาม ก็ควรจะต้องพยายามปรับตนเข้าหาวัฒนธรรมของท้องถิ่น ที่ตนมาพำนักอาศัยจนกลายเป็นพลเมืองของชาตินั้น โดยการนิยมไทย สำนึกไทย และรักไทยไปด้วย
ลดความแตกต่าง สร้างความกลมกลืน
เพื่อความยั่งยืน ของสังคมไทย
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี