เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์สถานีวิทยุ National Public Radio (NPR) สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานพิเศษ “The Cost Of Thailand's Coronavirus Success: Despair ... And Suicide” เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2563 ว่าด้วยการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งอีกด้านหนึ่งมีราคาที่ต้องจ่ายนั่นคือความรู้สึกสิ้นหวังของผู้คน และบางรายไม่อาจรับสภาพไหวตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อจบความทุกข์ของตนเอง
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยเรื่องเล่าของ Suchart Prasomsu หนุ่มใหญ่วัย 53 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย อาชีพหลักของเขาคือการเป็นพ่อค้าข้าว แต่เมื่อว่างเว้นจากธุรกิจก็ปฏิบัติหน้าที่เป็นอาสากู้ภัย วันหนึ่งเขานำทีมงาน 30 คน Prasomsu เป็นอาสากู้ภัยมาแล้ว 30 ปี ภารกิจคือการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน การเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอาชญากรรม กระทั่งในช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 งานของกู้ภัยยังเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง คือการช่วยให้ผู้ที่กำลังสิ้นหวังกับชีวิตไม่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย
หนุ่มใหญ่รายนี้ เล่าว่า นับตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 ที่รัฐบาลไทยประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ ตนและทีมงานกู้ภัยคนอื่นๆ เคยได้รับรายงานการฆ่าตัวตายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างน้อย 10 ครั้ง และตนยังเคยช่วยเหลือหญิงสาวรายหนึ่งที่พยายามฆ่าตัวตายเพราะเครียดเนื่องจากตกงาน ทั้งนี้ สถิติการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก มีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 3,100 คน และเสียชีวิตสะสมรวม 58 ราย นักระบาดวิทยาชาวไทยยกผลงานให้กับระบบสาธารณสุข
ชุมชนของผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย จำนวนมากอยู่ใต้ทางด่วนหรือริมทางรถไฟ คนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการของรัฐบาลในการสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19
แต่อีกด้านหนึ่ง ไทยก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ในโลก มาตรการล็อกดาวน์ทำให้ธุรกิจจำนวนมากต้องถูกสั่งปิด ทั้งร้านค้า สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า ตลาด โรงงาน สถานออกกำลังกาย สถานบันเทิง ร้านอาหาร รวมถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ผู้คนถูกขอให้อยู่บ้านและหากจำเป็นต้องออกจากบ้านก็ต้องสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก มีธุรกิจไม่กี่อย่างที่ยังได้รับอนุญาตให้เปิดทำการ เช่น ร้านขายของชำ แต่ก็ต้องมีการวัดอุณหภูมิผู้เข้าไปใช้บริการ กระทั่งเมื่อต้นเดือน พ.ค. 2563 รัฐบาลไทยจึงทยอยให้ธุรกิจต่างๆ กลับมาเปิดได้ตามลำดับ
รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลไทยได้โต้แย้งข้อมูลของ WHO โดยระบุว่า คนไทยฆ่าตัวตายอยู่ที่ 6-6.5 คนต่อประชากร 1 แสนคนเท่านั้น แต่สิ่งที่รัฐบาลไทยไม่กล่าวถึงคือความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับวิกฤติโรคระบาด และการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นด้วย อาทิ ในเดือน เม.ย. 2563 Somsri Taenmok ชายวัย 41 ปี พาลูกสาววัย 5 ขวบ ตระเวนหางานทำแต่ก็ไม่มีใครจ้างเนื่องจากโครงการก่อสร้างต่างๆ ชะลอออกไป
Swing Wajapairoh หญิงชราวัย 82 ปี ชาวบ้านที่มาช่วยงาน ณ Thamniyom Temple วัดในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และเป็นผู้ที่เคยพบ 2 พ่อ-ลูกดังกล่าวเดินทางมาขออาศัยอยู่ในวัดแห่งนี้ เล่าว่า ผู้เป็นพ่อดูเงียบๆ ขณะที่ลูกสาวช่างพูด ขณะที่ก่อนจะทราบเรื่องว่าชายคนนี้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย มีผู้ได้ยินเสียงเด็กหญิงพูดว่า “พ่ออย่าทิ้งหนูไป (Father don't leave me)” และในวันต่อมาก็มีผู้พบศพคนจมน้ำ แต่ไม่ใช่เฉพาะชายผู้เป็นพ่อเท่านั้น แม้แต่ลูกสาวก็ตายตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ที่พวกเขาจบชีวิตนี้ ห่างจากบ้านเกิดที่ จ.มหาสารคาม ประมาณ 200 ไมล์
ในขณะที่ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าอะไรคือแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายของพ่อ-ลูกคู่นี้ การฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้หลายคนตื่นตระหนกแม้กระทั่งรัฐบาลไทย โครงการจ่ายเงินเยียวยา 150 เหรียญสหรัฐ หรือ 5,000 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 3 เดือน กับผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ มีคนไทยยื่นขอรับความช่วยเหลือ 29 ล้านคน แต่ในช่วงกลางเดือน พ.ค. 2563 รัฐบาลกลับอนุมัติได้เพียง 16 ล้านคน ความล่าช้าและการถูกปฏิเสธนำมาซึ่งความสิ้นหวัง
ในเดือน เม.ย. 2563 หญิงคนหนึ่งตัดสินใจดื่มยาพิษหวังฆ่าตัวตายที่บริเวณหน้ากระทรวงการคลัง เพื่อประท้วงปัญหาการขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาล หญิงรายนี้เคราะห์ดีที่ยังได้รับการช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ชายอีกคนที่ประท้วงอยู่ด้านนอกกระทรวงการคลัง ฆ่าตัวตายสำเร็จในอีก 4 วันต่อมา ขณะที่บรรยากาศ ณ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 8 พ.ค. 2563 สถานที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นจุดตรวจสอบสิทธิรับความช่วยเหลือเงิน 5,000 บาท กรณีผู้ถูกปฏิเสธในครั้งแรกแล้วต้องการยื่นอุทธรณ์ พบว่า หลายคนมารอตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบเอกสารประชาชนที่มายื่นขออุทธรณ์ในมาตรการรับเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
Apinya Thamniyon ชายวัย 53 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ เล่าว่า เจ้าของบ้านเช่าขู่ภรรยาของตนว่าหากไม่จ่ายค่าเช่าจะต้องไล่ออกจากบ้าน ซึ่งก็ยอมรับว่าค้างค่าเช่ามา 2 เดือนแล้ว และตนก็ยังค้างค่าเช่ารถแท็กซี่ เครื่องมือประกอบอาชีพซึ่งอาจจบลงด้วยการถูกยึดรถคืนด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ก่อนรัฐบาลไทยประกาศล็อกดาวน์ หนุ่มใหญ่รายนี้สามารถหารายได้ได้สูงสุดถึง 1,000 บาทต่อวัน แต่เมื่อล็อกดาวน์ก็เหลือเพียง 150 บาทต่อวัน ซึ่งไม่พอกับค่าใช้จ่ายทั้งค่าเช่ารถ ค่าเชื้อเพลิง และค่าอาหารประจำวัน แต่สุดท้ายคำร้องขอรับความช่วยเหลือถูกตีกลับและให้ไปดำเนินการใหม่
Pratung Dechraksa หญิงชราวัย 75 ปี อาชีพหาบเร่แผงลอยรถเข็นขายกล้วยทอด กล่าวว่า ในช่วงล็อกดาวน์ก็ไม่ได้ขายของ ส่วนลูกชายวัย 50 ปี Tihtakarn Dechraksa เคยเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก่อนจะตกงานในเดือน มี.ค. 2563 รายได้ครั้งล่าสุด 30 เหรียญสหรัฐ หรือราว 900 บาท มาจากการขุดบ่อน้ำในเดือน เม.ย. 2563 แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีงานทำอีก ดำรงชีพอยู่ด้วยพืชและปลาทุกชนิดที่หาได้ตามสภาพแวดล้อม และหาสิ่งของจำเป็นจากร้านค้าเล็กๆ โดยติดค่าสินค้าไว้ก่อน
Laddawan Pluemarom หญิงวัย 53 ปี มาตรวจสอบว่าเหตุใดตนถูกปฏิเสธสิทธิ์เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ทั้งที่โรงงานในละแวกบ้านถูกปิด ทำให้ตนที่เคยรับจ้างซักเสื้อผ้าให้คนงานในโรงงานต้องสูญเสียรายได้ไปด้วย ในตอนแรกพยายามปรับตัวด้วยการหัดทำเค้กด้วยการดูจากเว็บไซต์ยูทูป แต่สุดท้ายร้านกาแฟที่นำเค้กไปขายก็ยังปิดตัวลงอีก ตนยอมรับว่าดำรงชีพด้วยอาหารวันละ 1 มื้อและฆ่าเวลาด้วยการอ่านข่าวทางโทรศัพท์มือถือ แต่สำหรับข่าวฆ่าตัวตายนั้นไม่กล้าอ่านเพราะสะเทือนใจเกินไป
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล (Somchai Preechasilpakul) นักวิชาการด้านกฎหมาย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า มาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลมีปัญหาทั้งความล่าช้ารวมถึงความไม่แน่นอนว่าใครจะได้หรือไม่ได้ ซึ่งแม้ตนจะสนับสนุนมาตรการล็อกดาวน์และเห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาลในการควบคุมการระบาดของโรค
แต่การรับมือดังกล่าวจะไม่ถือว่าประสบความสำเร็จหากผู้คนต้องฆ่าตัวตาย ทั้งนี้ การจ่ายเงิน 5,000 บาทโดยอัตโนมัติไม่ต้องคัดออก จะทำให้ผู้คนได้รับความช่วยเหลือเร็วขึ้น ระบบที่ดำเนินการอยู่นั้นถูกพันด้วยระบบราชการ ท่ามกลางสถานการณ์ที่รายจ่ายของผู้คนสูงขึ้นและบางคนยังต้องพยายามแม้แต่จะซื้ออาหารมื้อต่อไป ความล่าช้าและการปฏิเสธทำให้เกิดความเครียดขึ้นจากความรู้สึกไม่แน่นอนในหมู่คนจนไทย
รศ.สมชาย เป็นหนึ่งในคณะนักวิชาการไทยที่เก็บรวบรวมสถิติจากข่าวการฆ่าตัวตายที่เนื้อข่าวระบุแรงจูงใจจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยพบว่า ในเดือน เม.ย. 2563 มีกรณีพยายามฆ่าตัวตาย 80 กรณี ในจำนวนนี้ 44 กรณี เชื่อมโยงกับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ขณะที่ในวันที่ 28 พ.ค. 2563 รัฐบาลไทยยอมรับว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นวิกฤติทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ
บรรยากาศหน้ากรมธนารักษ์ (กระทรวงการคลัง) มีประชาชนต่อคิวรอยื่นตรวจสอบคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
รายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่เผยแพร่ในเดือน พ.ค. 2563 เตือนให้ทั่วโลกเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับ เดโวรา เคสเทล (Devora Kestel) ผู้อำนวยการแผนกสุขภาพจิต องค์การอนามัยโลก ที่กล่าวว่า สุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตที่ดีของสังคมได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติครั้งนี้และมีความสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ความโดดเดี่ยว ความกลัว ความไม่แน่นอน ความยุ่งยากทางเศรษฐกิจ ล้วนก่อให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ
เช่นเดียวกับรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์จะทำให้ประชากร 195 ล้านคนทั่วโลกตกงาน อีกหลายล้านคนไม่อาจได้ทำงานอย่างเต็มที่ และแรงงานนอกระบบ 1.6 พันล้านคนมีรายได้ลดลง อาทิ ผู้ค้าขายทั้งหาบเร่แผงลอยริมถนนและในตลาด คนรับใช้ในบ้าน ร้านขนาดเล็กที่รับซ่อมสิ่งของต่างๆ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ในไทยนั้นการล็อกดาวน์กระทบกับทั้งภาคการท่องเที่ยวและการผลิต ซึ่งมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ ร้อยละ 20 และ 30 ตามลำดับ
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ (Varoth Chotpitayasunondh) จิตแพทย์และโฆษกกรมสุขภาพจิต ให้ความเห็นว่า แม้การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะถูกควบคุมได้แล้ว แต่ความท้าทายที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญหลังจากนี้คือปัญหาสุขภาพจิต ทั้งนี้ รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่ในปี 2559 ประเทศไทยมีสถิติการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 14.4 คนต่อประชากร 1 แสนคน สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 10.6 คนต่อประชากร 1 แสนคน
ย้อนไปเมื่อปี 2540 ในเวลานั้นเกิดวิกฤติการเงินของเอเชีย (วิกฤติต้มยำกุ้ง-ผู้แปล) ภาวะถดถอยและการต้องใช้ชีวิตอย่างเข้มงวด ทำให้สถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในช่วงแรก ก่อนจะขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2542 อยู่ที่ 8.6 คนต่อประชากร 1 แสนคน และยังคงสูงเกินค่ามาตรฐานต่อไปอีก 5 ปี ซึ่ง นพ.วรตม์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้จะกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กรมสุขภาพจิตถูกก่อตั้งขึ้นมา
สถิติการฆ่าตัวตายของคนไทย ปี 2540-2562 โดยกรมสุขภาพจิต
ที่มา : https://www.dmh.go.th/report/suicide/stat_prov.asp
ประเทศไทยนั้นควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหนึ่งมาจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีจำนวนกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ คนเหล่านี้ตระเวนไปตามบ้านเรือนในชุมชนของตนเอง เพื่อวัดอุณหถูมิและให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพ ในยามค่ำคืนพวกเขาเย็บหน้ากากปิดปาก-จมูก เพื่อที่ในเช้าวันรุ่งขึ้นจะได้นำไปแจกจ่ายให้เพื่อนบ้าน
และล่าสุด อสม. ได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมในการเฝ้าระวังความเครียดและวิตกกังวล หากพบบุคคลเสี่ยงจะประสานนักสังคมสงเคราะห์หรือจิตแพทย์ดำเนินการต่อไป ซึ่งในเดือน พ.ค. 2563 กรมสุขภาพจิตเปิดตัวโครงการ “วัคซีนใจ (Mind Vaccine)” เป็นการจัดทำแนวทางสำหรับชุมชนในการสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจ และปรับกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละชุมชน ซึ่ง นพ.วรตม์ คาดหวังว่า เมื่อสถานการณ์โรคระบาดทางกายภาพบรรเทาลง ทรัพยากรต่างๆ จะถูกระดมไปรับมือกับสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตมากขึ้น
สำหรับโครงการวัคซีนใจ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือระดับบุคคล ครอบครัวและชุมชน กรมสุขภาพจิตได้ประยุกต์แนวทางดูแลสุขภาพจิตจากนานาชาติให้เข้ากับบริบทของสังคมไทย เช่น หมู่บ้านแห่งหนึ่งสามารถจัดให้คนตกงานเป็นอาสาสมัครในชุมชนเพื่อให้ชีวิตที่ไม่แน่นอนยังคงมีความหมาย สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวอาจไปขายอาหารปรุงสุกในตลาดเปิดใหม่ในช่วงที่เสาหลักของครอบครัวตกงาน ส่งเสริมให้ผู้มีความรู้ความสามารถในชุมชนรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือคนในชุมชน เป็นต้น
ผู้คนในย่านดินแดง กรุงเทพฯ กำลังช่วยกันติดตั้ง “ตู้ปันสุข” สำหรับให้ผู้มีกำลังทรัพย์บริจาควัตถุดิบประกอบอาหารสำหรับให้ผู้ได้รับความเดือดร้อนมาหยิบไปใช้ได้ แนวคิดนี้มีที่มาจาก เจสสิกา แม็คคลาด (Jessica McClard) ที่ริเริ่มโครงการจิตอาสาติดตั้งตู้กับข้าวเพื่อแจกจ่ายอาหารแก่คนยากไร้ ในเมืองเฟย์เอตต์วิลล์ (Fayetteville) รัฐอาร์คันซอ (Arkansas) สหรัฐอเมริกา
ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยคือ “ตู้ปันสุข” ตู้อาหารที่ถูกนำไปติดตั้งตามพื้นที่สาธารณะต่างๆ ผู้ที่มีกำลังทรัพย์สามารถซื้อวัตถุดิบประกอบอาหาร เช่น ข้าวสาร ไข่ น้ำดื่ม สำหรับให้ผู้ได้รับความเดือดร้อนในช่วงวิกฤติมาหยิบไปใช้ได้ ดังตัวอย่างที่ จ.ราชบุรี ซึ่งใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันตก ตู้กับข้าวที่มิสิ่งของเต็มนั้นหมดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มารับของไปใช้มีทั้งผู้ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย บางคนไม่ได้รับเงินช่วยเหลือเป็น 5,000 บาทจากรัฐบาล แต่พวกเขายังคงต้องดิ้นรนเพื่อจ่ายหนี้สิน
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า ในเดือน พ.ค. 2563 Samart Thermuangpak ชายวัย 42 ปี อาชีพคนงานก่อสร้าง ผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวเพราะต้องดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นลมชักไม่สามารถทำงานได้ แม่ที่แก่ชรา และลูกอีก 3 คน ได้พยายามฆ่าตัวตายหลังตกงานเพราะโครงการก่อสร้างหยุดชะงักในช่วงล็อกดาวน์ อีกทั้งยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทจากรัฐบาล กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงใช้เงินส่วนตัว 5,000 บาทมอบให้ในเบื้องต้นไปก่อน ชายคนดังกล่าวจึงสงบสติอารมณ์ลงและตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตาย ขณะที่ภรรยาเปิดเผยว่า สามีมีประวัติซึมเศร้าและดื่มสุรา
สถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย
Samart พยายามฆ่าตัวตายถึง 3 ครั้งตลอดเดือน พ.ค. 2563 แพทย์ประจำหมู่บ้านต้องกำชับให้ภรรยาและลูกๆ ช่วยเฝ้าระวังอีกทางหนึ่ง รวมถึงแนะนำให้ชุมชนหมั่นไปเยี่ยมและพูดคุยให้กำลังใจ กลไกชุมชนเริ่มทำงาน เจ้าของบ้านเช่าพักการเก็บค่าเช่าไว้ก่อน ผู้นำท้องถิ่นและอาสาสมัครด้านสุขภาพเข้ามาให้ความช่วยเหลือ สถานีตำรวจในพื้นที่ส่งเจ้าหน้าที่มาเยี่ยมวันละ 1 ครั้ง และผู้บังคับการตำรวจในพื้นที่อนุญาตให้ครอบครัวโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือโดยตรงได้หากจำเป็น
โฆษกกรมสุขภาพจิต ฝากข้อคิดว่า หากมีสิ่งใดที่ตนจะพูดถึงเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย นั่นคือการที่ใครคนหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดขึ้นมาจากปัจจัยหนึ่งเดียวแบบโดดๆ แต่มีความซับซ้อน ดังนั้นแล้ว “เมื่อมีสิ่งหนึ่งพังทลายลง คุณยังสามารถสนับสนุนสิ่งอื่นๆ ของคนคนนั้นได้ (If one thing is broken, you can support the other parts of a person's life.)” นั่นคือปัจจัยในการป้องกันการฆ่าตัวตาย ดังตัวอย่าง เช่น กำลังใจจากครอบครัว
ขอบคุณเรื่องและภาพจาก : https://www.npr.org/sections/goatsandsoda/2020/06/16/874198026/the-cost-of-thailands-coronavirus-success-despair-and-suicide
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี