เดือดยาวนานข้ามปีกับความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ “สหรัฐอเมริกา-จีน” ที่ตอบโต้กันอย่างต่อเนื่องใน “สงครามการค้า (Trade War)” และแม้จะเป็นช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19ทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่ได้หยุดพัก ยังคงทำสงครามข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ ต่อไป โดยเฉพาะที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุของโรคระบาด เช่น แอบทดลองไวรัสมรณะนี้แต่ควบคุมไม่ได้จนหลุดออกมาป่วนไปทั่วโลกดังกล่าว
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “COVID-19 กับความขัดแย้งสหรัฐอเมริกา-จีน” โดยมีผู้บรรยายคือ พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่ความขัดแย้งโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่เป็นตัวเร่งให้ความขัดแย้งของทั้ง 2 ชาติ ที่มีอยู่ก่อนแล้วนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
“จะเห็นได้ว่าจีนเป็นประเทศอันดับหนึ่งที่ได้ดุลการค้าจากอเมริกา สถิติหลังจากช่วงสงครามเย็นตั้งแต่ปี 1990 (พ.ศ.2533) ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าจีนได้เปรียบดุลการค้าอเมริกามาโดยตลอด โดยก่อนที่ทรัมป์จะเข้ามารับตำแหน่ง จีนได้เปรียบดุลการค้าอเมริกาถึง 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าอเมริกาเสียเปรียบดุลการค้าให้กับจีบเกือบครึ่ง” อาจารย์พงศ์พิสุทธิ์ กล่าว
ขณะที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) ในฐานะเจ้าภาพรับมือโรคระบาด ก็ถูกลากเข้ามาอยู่ตรงกลางความขัดแย้งระหว่าง 2 มหาอำนาจ โดยสำหรับฝ่ายสหรัฐฯ เมื่อองค์การอนามัยโลกชี้แจงว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนกรณีข้อกล่าวหาเรื่องไวรัสโควิด-19 ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองของจีน แต่ไวรัสนั้นมาจากค้างคาวในจีน ก็ทำให้ ปธน.ทรัมป์ ไม่พอใจและยังคงเดินหน้าโจมตีองค์การอนามัยโลกต่อไป เช่น กล่าวหาว่าให้ความสนใจจีนมากเกินไปบ้าง หรือตำหนิว่าให้คำแนะนำที่ผิดพลาดในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดบ้าง เป็นต้น
ในขณะที่ฝ่ายจีนนั้นแสดงออกด้วยการประกาศอัดฉีดเงินสนับสนุนถึง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6 หมื่นล้านบาท ให้องค์การอนามัยโลกเพื่อสนับสนุนภารกิจต่อสู้กับการแพร่ระบาดโควิด-19 ไม่เพียงเท่านั้นยังบอกอีกว่า หากจีนคิดค้นวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19ได้สำเร็จเมื่อใดจะนำไปช่วยประเทศต่างๆ ซึ่งเมื่อเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าว ปธน.ทรัมป์ ก็ยิ่งไม่พอใจขึ้นไปอีก โดยออกมาขู่ว่าสหรัฐฯ จะตัดงบสนับสนุนองค์การอนามัยโลก หรืออาจจะมากกว่านั้นคือถึงขั้นถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ด้วยเหตุผลว่าทำเนียบขาวไม่ไว้วางใจในการทำงาน
อาจารย์พงศ์พิสุทธิ์ยังกล่าวต่อไปถึง “ไต้หวัน” อีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน พร้อมจะปะทุได้ตลอดเวลา “จีนนั้นยึดถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนมาโดยตลอดตามหลักการจีนเดียว” โดยเฉพาะในปี 2562 ที่ประธานาธิบดีจีน สี จิ้น ผิง ออกมาย้ำว่า “ไต้หวันจะไม่ได้เป็นประเทศเอกราชอย่างแน่นอน และจีนพร้อมใช้กำลังทหารเพื่อรวมชาติกับไต้หวันเป็นหนึ่งเดียวหากจำเป็น” ซึ่งสหรัฐฯ แม้จะมีสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับจีน (ปักกิ่ง) แต่ก็มีสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับไต้หวัน (ไทเป) เช่นกัน และนั่นทำให้จีนไม่สบายใจ
“ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดไปทั่วโลก ไต้หวันถือเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการควบคุมการระบาด แม้อยู่ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่เพียง 180 กิโลเมตร ความสำเร็จของไต้หวันทำให้หลายประเทศยกย่องและยกไต้หวันเป็นแบบอย่างในการรับมือกับไวรัส เรื่องนี้สร้างความไม่สบายใจให้กับจีนเป็นอย่างยิ่ง เพราะบทบาทที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลกของไต้หวันกำลังท้าทายหลักการจีนเดียวในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ตราบใดที่ไต้หวันไม่ประกาศตัวเป็นประเทศเอกราช และจีนไม่ใช้กำลังทางทหารกับไต้หวัน สงครามใหญ่ที่จะบีบให้อเมริกา ต้องเลือกข้างอาจไม่เกิดขึ้น ปัญหาไต้หวันก็ยังเปรียบเหมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ”นักรัฐศาสตร์จากจุฬาฯ ผู้นี้ ให้ความเห็น
นอกจากไต้หวันแล้ว “ฮ่องกง” ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่สหรัฐฯ กับจีนขัดแย้งกัน เนื่องจาก “สหรัฐฯ มีท่าทีสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของชาวฮ่องกงอย่างเปิดเผย” นับตั้งแต่ปี 2562 ที่เริ่มมีการชุมนุมประท้วงบนเกาะฮ่องกงซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้ชาวฮ่องกงกังวลว่าจีนกำลังแทรกแซงและอาจทำให้สูญเสียหลักนิติธรรมและกระบวนการยุติธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ที่ชาวฮ่องกงหวงแหน จนนำไปสู่ข้อเรียกร้องจากผู้ชุมนุมว่าต้องมีการจัดการเลือกตั้งผู้บริหารเกาะฮ่องกงอย่างเสรีและเป็นประชาธิปไตย
อาจารย์พงศ์พิสุทธิ์ยกตัวอย่างกรณี “สภาคองเกรส”หรือรัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เพื่อสกัดอิทธิพลและการแทรกแซงของจีนในฮ่องกง และ ปธน.ทรัมป์ ลงนามเมื่อเดือน พ.ย. 2562ที่ผ่านมา สาระสำคัญของกฎหมายนี้คือกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของอเมริกา ประเมินระดับสิทธิเสรีภาพในการปกครองตนเองของฮ่องกงเป็นประจำทุกปี และมีบทลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิพลเรือนในฮ่องกง ทำให้จีนมองว่า สหรัฐฯ แทรกแซงกิจการภายในของจีนอย่างโจ่งแจ้ง
เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อความสัมพันธ์จีนกับอเมริกาอย่างแน่นอน และเป็นอีกปมขัดแย้งที่ยากจะคลี่คลาย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี