บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และบรรดาภิกษุสามเณรทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานแล้ว วันนี้ก็จะขอน้อมนำเอาปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ท่านผู้นั้นเป็นใครไม่ต้องพูดถึง ก็ขอได้โปรดทราบว่า ท่านผู้นั้น ตามบันทึกของท่านตอนหลัง ท่านหาที่เกิดไม่ได้เสียแล้ว
สำหรับท่านผู้นี้มีอายุกาลไม่นานนัก ที่ท่านจากเราไป เป็นเวลากาลไม่นาน ขอบรรดาท่านนักปฏิบัติทุกท่านจงมีความมั่นใจในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเวลานี้พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ และก็ยังสามารถทำให้ท่านทั้งหลายที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร ปฏิบัติในด้านอธิศีลคือมีศีลยิ่ง ปฏิบัติในด้านอธิจิตคือมีสมาธิตั้งมั่น และปฏิบัติในวิปัสสนาญาณทำลายกิเลสให้สิ้นไป ยังมีผล
ก่อนที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะรับฟังปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า อันดับแรกจงอย่าลืมควบคุมกำลังใจของท่านให้ทรงอยู่ในสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกให้มีสติคงตัว มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราต้องตายแน่ ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง ถ้าเรายังพอใจอยู่ในโลกียวิสัย เราจะไม่พ้นความทุกข์ เราจะเข้าถึงความสุขที่เป็น เอกันตบรมสุข ได้แก่สุขยอดเยี่ยมคือพระนิพพาน ก็คือ
หนึ่ง เป็นผู้มีทานเป็นปกติ ไม่โลภโมโทสันในทรัพย์สิน
สอง ตัดความรักในระหว่างเพศ
สาม ทำลายโทสะและพยาบาทให้สิ้นไป
สี่ ตัดอาลัยในร่างกายของตัว ร่างกายของบุคคลอื่นในโลกและวัตถุทั้งหมดในโลก ไม่ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา พยายามคิดไว้อย่างนี้เสมอ จิตใจของบรรดาท่านทั้งหลายก็จะเข้าถึงความดีของท่านผู้เฒ่าตามที่ท่านเล่าประวัติของท่านไว้
อย่าลืมว่าประวัติของท่านๆ ไม่ได้พิมพ์แจก ท่านไม่ได้หวังมรรค ท่านไม่ได้หวังผล เป็นแต่เพียงว่าท่านบันทึกปฏิปทาของท่านไว้เท่านั้น ผมก็ไปพบบันทึกของท่านด้วยความบังเอิญอย่างยิ่ง จึงได้นำมาเล่าให้บรรดาพุทธบริษัทชายหญิงได้รับทราบ สำหรับปฏิปทาของท่านผู้เฒ่านี้ ผมจะเล่าแต่เพียงย่อๆ เพราะความรู้ของพวกเรานี้มีเกินไปเสียแล้ว ไม่ใช่พอดี
ในตอนนี้ก็จะเล่าถึงจิตที่จะเข้าสู่อุปจารสมาธิ ขณะที่จิตของท่านเข้าสู่อุปจารสมาธิ ท่านบอกว่าภาพต่างๆ มันเกิดขึ้นอยู่เสมอ ครูบาอาจารย์ต่างๆ เคยแนะนำว่า จงอย่าติดในภาพ ถ้าติดในภาพที่เกิดขึ้น นั่นก็หมายความว่าใจของเราจะพลาดจากสมาธิ ท่านก็บันทึกไว้ตรงๆ ท่านก็บอกว่าใหม่ๆ ก็อดไม่ได้ อดจะติดไม่ได้ บางทีเห็นเป็นพระบ้าง เทวดาผู้ชายบ้าง เป็น เทวดาผู้หญิงบ้าง เป็นภาพฤาษี เป็นภาพวิมานบ้าง เป็นแสงสว่างบ้าง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาในกาลก่อน ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ เมื่อเกิดดีใจภาพก็หายไป จนกว่านานแสนนานนับเป็นเวลาแรมเดือนจึงจะสามารถชนะกำลังใจได้
โดยครูบาอาจารย์ก็แนะนำไว้เสมอว่า ภาพที่ลอยมานั้น อย่าสนใจ ถ้าสนใจแล้วจิตมันจะไม่มีสมาธิ มันจะตก คือความจริงภาพต่างๆ เป็นของจริง เป็นภาพทิพย์ เมื่อลอยมาแล้วก็ไม่ได้หายไป ของทิพย์ยังเป็นของทิพย์ ที่หายไปก็เพราะเราสนใจว่าภาพนี้เกิดขึ้น ภาพก็หายเพราะจิตตกจากอุปจารสมาธิ
ตอนนี้ขอท่านรับฟัง แล้วก็นำไปเป็นเครื่องปฏิบัติว่า กำลังของเราขณะที่ทรงไว้ในอุปจารสมาธิ จงอย่าสนใจ อย่าคิดเห็นว่าภาพที่ลอยมาให้เห็นเป็นของดีของวิเศษ ความจริงจิตเราเริ่มเข้าอุปจารสมาธิ เมื่อจิตเริ่มเข้าถึงอุปจารสมาธิจิตก็เริ่มเป็นทิพย์ เมื่อจิตเป็นทิพย์ก็เริ่มเห็นโน่นบ้างนี่บ้าง ไม่สามารถจะบังคับจิตให้เห็นได้นอกจากภาพนั้นจะปรากฏขึ้นเอง
สำหรับการเห็นภาพอย่างนี้ ทำคนเสียมาเสียมากแล้ว ที่ว่าทำคนเสียมามากเพราะหลงในภาพ เป็นภาพสวยสดงดงามชื่นตาชื่นใจไม่เคยเห็น แต่ว่าวันหลังนั่งอยากจะเห็นไม่เห็น เพราะตัวอยากเป็นกิเลส ตัวอยากเป็นตัณหา ตัวอยากเป็นอุทธัจจะ กุกกุจจะ เป็น นิวรณ์ นี่ การที่จะเห็นภาพได้ก็จะเกิดจากไม่ใช่ความอยาก แต่ความจริงภาพนั้นที่เห็น เรายังไม่ได้ทิพจักขุญาณ เพียงแต่ว่าจิตของเราเพิ่งจะเริ่มผ่านเข้าไปถึงอุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตของเราตกลงมาต่ำกว่าอุปจารสมาธิเราก็ไม่เห็นภาพ ถ้าจิตของเราสูงกว่า มีความสุขมากขึ้นถึงปฐมฌานขึ้นไป เราก็ไม่เห็นภาพ
แต่ความจริงสิ่งที่เราต้องการนั่นคือฌาน จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศลที่เรากำลังทรงอยู่ เช่น เรากำลังกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกหรือคำภาวนา ถ้าอาการเกิดขึ้นอย่างนี้ เราก็ตั้งใจกำหนดรู้ไว้เท่านั้น ให้ทรงอยู่ได้นานแสนนานเป็นที่พอใจของเรา ถ้าอารมณ์นั้นตั้งอยู่ได้นาน จิตมีความสุข ไม่มีความหวั่นไหวในอารมณ์ นั่นเป็นอารมณ์ฌาน สำหรับเรื่องนี้ก็พูดกันมามากแล้ว ก็ขอพูดเรื่องปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าต่อไป
ท่านกล่าวว่า มีคราวหนึ่ง มันเป็นเรื่องสำคัญ ภาพที่เป็นประโยชน์เกิดขึ้นแต่ท่านก็ทิ้งไปเสีย เพราะฟังจากคำครูบาอาจารย์สอน ท่านบอกว่าอย่าหลงในภาพ อย่าติดในภาพ นี่ภาพที่มีความสำคัญเกิดขึ้น นั่นก็คือภาพโครงกระดูก เห็นภาพโครงกระดูกลอยมาเป็นแถว เป็นระยะยาวนานตลอดเวลาที่ท่านนั่งอยู่
ท่านบอกว่าท่านให้เวลาจิตมันเป็นสุขอยู่ ๑ ชั่วโมง จะต้องคิดว่าจิตเป็นสุขจริงๆ ถ้ามันปวด มันเมื่อยมันฟุ้งซ่านจะต้องเลิกเสียก่อน อย่าไปตั้งเวลาตามนั้นไว้ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ตั้งเวลาการทรงตัว แต่จิตมันเป็นสุขไม่อยากถอน ในชั่วเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้น ภาพโครงกระดูกลอยมาเป็นแถวมาเป็นชิ้นๆ ทีแรกภาพโครงกระดูกด้านศีรษะไปก่อน มากระดูกคอ กระดูกซี่โครงมาเป็นชิ้นๆ แล้วมากระดูกสันหลัง กระดูกขา กระดูกแขน กระดูกมือ กระดูกเท้าลอยไป ลอยไปแล้ว ท่านก็ไม่ได้จับเอาไว้ แต่แล้วภาพนั้นก็กลับมาตั้งต้นใหม่ ลอยวนมาวนไปอยู่อย่างนั้น ท่านก็บอกว่า จิตของท่านก็ทรงไว้อย่างนั้นโดยเฉพาะ คือรู้ลมหายใจเข้าออก รู้คำภาวนา ภาพจะไปจะมาก็ไม่สนใจ
เวลาเช้า เข้าไปหาพระอาจารย์ผู้ใหญ่นั้น นั่นก็คือหลวงพ่อปาน ไปนมัสการท่านตามระเบียบ คือก่อนเวลาท่านฉันข้าว คือเมื่อท่านนั่งอยู่ที่พัก บรรดาพระที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายก็พากันเข้าไปนมัสการท่านก่อน เป็นประเพณีนิยม เมื่อนมัสการท่านแล้วท่านพบท่านผู้เฒ่าผู้นั้น นี่ตามบันทึกของท่านเขียนไว้อย่างนั้น
หลวงพ่อปานเห็นหน้าเข้าก็ยิ้มว่า คุณ เมื่อคืนนี้ผีหลอกหรืออย่างไร ท่านก็กราบเรียนว่า ผีไม่ได้หลอกขอรับ กระดูกมันหลอน หลวงพ่อปานถามว่ามันหลอนอย่างไร
ท่านบอกว่ามันลอยผ่านหน้าไปตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มทำจิตเป็นสมาธิ เริ่มจับลมหายใจเข้าออก ก็เริ่มเห็นภาพกระดูกลอยไป
หลวงพ่อปานท่านก็ยิ้ม ถามว่าแล้วคุณทำอย่างไรล่ะ ท่านก็กราบเรียน ท่านบอกว่า กระผมก็ช่างมัน เพราะรับคำสอนไว้ว่าช่างมัน อะไรจะไปอะไรจะมาก็ช่างมัน
หลวงพ่อท่านก็ยิ้มอีก ท่านบอกว่า นี่คุณ คุณไม่ได้ช่างมันเสียแล้วนี่ แอบไปช่างเผือกเสียแล้ว เพราะช่างเผือกนี่มันคัน ช่างมันไม่เป็นไร มีประโยชน์ แล้วท่านก็บอกว่า คุณ ทีหลังเอาใหม่นะ คุณเสียท่าไปเสียวันหนึ่งแล้ว ความจริงภาพโครงกระดูกที่ปรากฏขึ้นมานี่มันเป็นกรรมฐานกองเดิมที่คุณได้เคยปฏิบัติมาแล้วในชาติก่อน ความจริงในชาติก่อนๆ ที่คุณจะมาเกิดนี่ คุณบำเพ็ญบารมีเอาไว้มาก คุณได้กรรมฐานมาแล้วหลายสิบกอง ในจำนวนกรรมฐานสี่สิบคุณผ่านมาแล้วเกือบจะทั้งหมดแล้ว หรืออาจจะเรียกว่าทั้งหมดก็ได้ เพราะว่าอย่างอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง เราทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ถือว่ามีผลเสมอกัน ถือว่าได้หมด หรือว่ากสิณ ๑๐ อย่าง ถ้าได้กองใดกองหนึ่งก็ถือว่าได้กสิณหมด แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายคุณปล่อยให้ของเก่าหายไป แต่ความจริงเมื่อของเก่าเกิดขึ้น เราจะต้องยึดของเก่านี่ทำให้ถึงที่สุดของอารมณ์
คำว่าที่สุดของอารมณ์ก็หมายถึงว่า อารมณ์ในกรรมฐานกองนั้นจะทรงได้ถึงฌานไหน อาจจะทรงได้ถึงนิพพิทาญาณก็ใช้ได้ ต้องทำให้ถึงที่สุดของอารมณ์นั้นจึงจะถูก เพราะของเก่านี่เราทำได้ง่าย แสวงหาได้ง่าย เกิดผลง่าย มันเหมือนกับสภาพที่เรามีเงินมีทองอยู่ในกระเป๋าไม่รู้จักเงิน ไม่รู้จักทอง ไม่รู้จักใช้ ของที่มีแล้วไม่รู้จักใช้ ไปหาของใหม่นี่มันยาก ถ้าบังเอิญเราจะได้ของเก่ามาใช้ รู้ว่าเงินในกระเป๋ามีควัก เราเอามาใช้อย่างนี้สะดวก ไม่ลำบาก
ท่านก็แนะนำต่อไปว่า ถ้าท่านเห็นกระดูกขึ้นมาใหม่ แต่ต้องระวังนะคุณนะ คุณจำไว้ให้ดีที่คุณจะเห็นภาพกระดูกปรากฏก็ดี จะเห็นภาพอย่างอื่นลอยมาก็ดี คุณอย่าลืมว่าภาพเหล่านั้นคุณไม่ได้คิดไว้ก่อนว่ามันจะมา เพราะอาศัยที่คุณไม่ได้คิด อาศัยที่คุณตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ตั้งใจภาวนาตามที่คุณเห็นสมควร ตามที่คุณพอใจ จิตจึงเป็นสมาธิ อารมณ์เป็นทิพย์ที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ คุณจึงเห็นภาพนั้นได้เพราะจิตมันเป็นทิพย์ ถ้าคุณตั้งใจอยากจะเห็นมันก็ไม่มีทาง
เป็นอันว่าหลวงพ่อปานแนะนำแล้วต่างคนต่างก็ลุกมาฉันข้าว พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานก็นำเรื่องนั้นมาพูดอีกครั้งหนึ่ง ว่าท่านองค์ใดที่พอใจในอสุภสัญญา หรือที่เราเรียกกันว่า อสุภกรรมฐาน เห็นภาพกระดูกก็ดี เห็นเป็นภาพคนตายก็ดี เห็นภาพคนเน่าก็ดี จงยึดเอาภาพนั้นมาเปรียบเทียบกับตัวเรา ถ้าเห็นภาพกระดูกก็จงคิดว่า ร่างกายของเราที่เนื้อหนังมันหุ้มห่ออยู่ได้ก็เพราะกระดูกเป็นโครง ในเมื่อกระดูกมันเป็นโครงแบบนี้ เราก็ต้องคิดว่ากระดูกนี่มันสวยหรือไม่สวย
ความจริงสภาวะกระดูกเป็นสภาวะที่น่าเกลียด มีความโสโครก ไม่มีอะไรจะดี เมื่อเราทราบวาระจิตแบบนี้ ท่านบอกว่าจงมาเปรียบเทียบกับร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี มีตัวอย่างกระดูกเป็นโครง ว่ามันไม่สะอาด เต็มไปด้วยความสกปรก ไม่มีอะไรเป็นของสวยสดงดงาม กระดูกผีทุกก้อนเป็นกระดูกเป็นสิ่งที่เราพึงรังเกียจ โครงกระดูกทุกท่อนที่เขาผูกไว้ไม่มีใครพึงปรารถนา
จงคิดว่ากระดูกทั้งหมดคือร่างกาย ทั้งหมดเป็นเรือนร่างที่ตัณหาสร้างขึ้น แล้วตัณหามันก็ทำลายเอง เราเป็นคนโง่ยึดถือเรือนร่างที่ตัณหาสร้างขึ้น เมื่อตัณหามันทำลายแล้วเราก็เสียใจนั่นไม่ถูก เราจงคิดว่าสมบัติใดที่ตัณหาสร้างให้ไว้ สมบัติส่วนนั้นมันเป็นกับสำหรับดักหนูคือเรา ที่ตัณหาจะนำเราเข้าไปขังกรงหรือทุบตีให้เราบาดเจ็บหรือมีทุกขเวทนา การเกิดเป็นคนหรือการเกิดเป็นสัตว์เต็มไปด้วยความทุกข์ ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย ไม่มีเวลาใดที่จะมีความสุข แล้วท่านก็แนะนำว่าจงจำคำในอริยสัจที่ฉันสอนไว้ สิ่งใดที่ท่านสอนไว้แล้ว ท่านจะไม่พูดต่อไป เพราะว่าในสมัยนั้นต้องเป็นนักจำแล้วก็นักปฏิบัติ นักเอาจริง รวมความว่าลูกศิษย์ของท่านจะต้องประกอบไปด้วยอิทธิบาททั้ง ๔ ประการครบถ้วน
คำว่ามีอิทธิบาททั้ง ๔ ประการครบถ้วน เขาถือว่าเป็นคนจริงเอาจริงทุกอย่าง ไม่สักแต่เพียงว่าฟัง หรือว่าไม่สักแต่เพียงว่าจำไปแนะนำชาวบ้าน เรื่องชาวบ้านนั่นพระสมัยนั้นเขาไม่สนใจ ถ้าชาวบ้านถามเขาตอบ เขาไม่แสดงตนเป็นผู้วิเศษ เขาพยายามสอนตนเขาอยู่เสมอ เขาจึงได้ดีกัน เมื่อท่านย้ำเท่านั้นแล้วท่านก็เลิก ก่อนท่านจะยถา ท่านก็ย้ำว่า พวกคุณจงอย่าลืมคำสอนใดที่ฉันสอนพวกเธอไปแล้วเธอต้องจำ เกรงว่าจะจำไม่ได้ก็ต้องจด จดแล้วก็ท่องเพื่อให้จำได้แล้วก็ปฏิบัติตาม ถ้าสิ่งใดที่ฉันสอนไปแล้วเธอจำไม่ได้ ฉันถือว่าเธอเป็นบุคคลที่หาความเจริญไม่ได้ ฉันไม่พึงปรารถนาบุคคลประเภทนั้น เพราะคนที่มีจิตใจเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ฉันไม่ต้องการ ฉันถือว่าไม่ใช่ลูกศิษย์ของฉัน และเมื่อยถาเสร็จ ทำวัตรเสร็จ ต่างคนต่างก็แยกกันไป
ท่านผู้เฒ่าท่านเล่าต่อไปในบันทึกของท่าน ท่านเขียนไว้โดยย่อ หลังจากนั้นมาจากฉันอาหารเสร็จ ฉันก็รู้สึกว่าฉันเจ็บใจตัวเองว่าฉันไม่น่าจะโง่แบบนั้น แต่ว่าคิดไปอีกที เราจะไปโกรธตัวเองมันก็ไม่ถูกเพราะเราเป็นคนไม่รู้ ครูท่านบอกให้ปล่อยเราก็ปล่อย เราก็ปฏิบัติตามครูแล้ว แต่ทว่าเวลานี้ครูบาอาจารย์ท่านบอกให้เกาะ ท่านบอกให้พวกเราเกาะกระดูก เราก็ต้องเกาะ แต่นอกจากกระดูกเราก็จะไม่ยอมเกาะ
ท่านสั่งไว้แล้วว่า ใครเรียนกรรมฐานกับฉันต้องเรียนแบบโง่ๆ ห้ามอวดฉลาด ในเมื่อเราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ เมื่อท่านให้โง่เราก็ต้องโง่ โง่ตามครูสอนดีกว่าฉลาดนอกรีตนอกรอย ท่านตัดสินใจแบบนั้นแล้วท่านก็ไม่รอค่ำ ทำวัตรเสร็จในตอนเช้า ยังไม่มีงานที่จะต้องปฏิบัติ หมายความว่างานก่อสร้างในวัดตอนนั้นจางๆ ไป คือจะลงมือทำกันก็หลังจากฉันอาหารเพลแล้ว
ฉะนั้น ท่านก็ไม่ยอมให้เวลามันเสีย แต่ความจริงท่านผู้เฒ่านี่ท่านเป็นผู้เคร่งครัดมาก ยามปกติท่านไม่ค่อยจะคุยกับใคร งานของท่านจัดเป็นเวลาจัดตารางไว้เสมอ เวลานี้ดูหนังสือ เวลานี้เจริญพระกรรมฐาน เวลานี้ปล่อยอารมณ์สบาย ใคร่ครวญไปตามปกติ เวลานี้เป็นเวลางาน เวลานี้เป็นเวลาทำวัตร เวลานี้เป็นเวลาสวดมนต์ เวลานี้เป็นเวลานมัสการครูบาอาจารย์ผ่านกุฏิหลวงพ่อปานทุกครั้ง เวลาท่านผ่านไปท่านยกมือไหว้ ท่านบันทึกไว้อย่างนั้น ท่านบอกว่าฉันไม่ได้ไหว้กุฏิ ฉันไหว้หลวงพ่อปานและความดีของท่าน เวลาไหว้ไปฉันก็นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย นึกถึงพระธรรมด้วย นึกถึงหลวงพ่อปานด้วย เพราะท่านเป็นครู คำสอนทั้งหมดหลวงพ่อปานเอามาสอนฉัน
ต่อมาท่านบอกว่า หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ทำวัตรเสร็จ ท่านก็เข้ากุฏิ นั่งบ้างนอนบ้างตามอัธยาศัย เดินมาเดินไปในห้องของท่าน เวลาท่านเดินตามปกติเท้าท่านค่อยมาก ท่านบอกว่าเวลาเข้าไปถึงปับ หันหลังเข้าฝา เอาหน้าเข้าหาพระพุทธรูป กราบไว้ตามสมควร แล้วก็เริ่มจับจิตเป็นสมาธิ พอจิตเริ่มจับเป็นสมาธิ ก่อนจะจับ จิตท่านจับพระพุทธรูปก่อน
ท่านบอกว่าภาพพระพุทธรูปนี่จับใจฉันเหลือเกิน ฉันจะเดินไปไหนก็ตาม ฉันเห็นภาพพระพุทธรูปตลอดเวลา จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ขึ้นชื่อว่าจิตฉันว่างจากพระพุทธรูปฉันไม่มี ทั้งนี้เพราะฉันรักพระพุทธเจ้า ฉันมีความสุขที่มาบวชเป็นพระ ฉันไม่ต้องทำไร่ไถนาเพราอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาพพระพุทธเจ้าปรากฏชัดเสมอ แล้วอีกประการหนึ่ง ภาพของหลวงพ่อปานในอิริยาบถต่างๆ ที่ไปหาท่านๆ มีบัญชา ภาพหลวงพ่อปานก็ผสมผสานอยู่กับภาพพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เห็นทั้งภาพพระพุทธเจ้าเห็นทั้งภาพหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่าใจมันคิดอย่างนี้
เวลากราบพระ จิตนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า เวลาเริ่มทำจิตเป็นสมาธิจับลมหายใจเข้าออก พอเริ่มจับก็ปรากฏโครงกระดูกคือศีรษะก้อนเบ้อเร่อ หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้ตอนนั้นว่า ทีหลังเธอเห็นภาพโครงกระดูกจงใช้จิตแบบนี้ ว่าโครงกระดูกชิ้นแรกมาบังคับให้ตกลงไปข้างหน้า ชิ้นสองต่อมาก็บังคับให้ตกลงๆ แล้วก็พิจารณาเป็น อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง คำนี้แปลว่ากระดูกนี้มันสกปรก ให้เห็นกระดูกนั้นเทียบกับกระดูกของเรา สกปรกกว่านั้น
กระดูกที่เราเห็นนั้นเป็นกระดูกแห้ง กระดูกในร่างกายเรามันเปื้อนเลือด เปื้อนน้ำเหลือง น้ำหนอง ทั้งไขมันเต็มไปหมด สกปรกเหลือทน กระดูกของบุคคลอื่นก็เช่นเดียวกัน เราเกลียดกระดูก เห็นตัวคนเห็นเป็นกระดูก เห็นตัวเรา นึกถึงตัวเรา นึกถึงภาพของกระดูกนั้น แล้วนึกถึงภาพโครงกระดูกในตัวเราว่ามันน่าเกลียดน่ากลัวสักเพียงไหน ท่านบอกว่าที่หลวงพ่อปานสอนมาก้องอยู่ในใจ พอเริ่มจับจิตเป็นสมาธิ โครงกระดูกบนศีรษะก็เริ่มลอยมา ท่านก็นึกให้ภาพหล่นลง ภาพโครงกระดูกหล่นลง ภาพต่อมาลอยมาๆ ก็ชนต่อกันๆ จนเป็นรูปคนสมบูรณ์ ต่อมาท่านก็พิจารณากระดูกตามสภาพว่ามันน่าเกลียดไม่น่ารัก เป็นของไม่สะอาด เป็นของสกปรก อัฏฐิกัง ปฏิกุลัง ตอนนี้ไม่ใช่ภาวนา เป็นพิจารณาไป
นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทั้งภาพพระพุทธเจ้า ภาพหลวงพ่อปาน ภาพโครงกระดูกปรากฏผสมผสานกัน ท่านเห็นคนเดินมา เห็นเป็นกระดูกเดินหมด ไม่เห็นเนื้อเลย จิตใจมันจับเข้าถึงโครงกระดูก ไม่เห็นเนื้อเลย จนกระทั่งเกิดความสะอิดสะเอียนในร่างกายของคนและสัตว์ได้ชัด ความปรารถนาในเพศไม่มีเพราะจิตมันรังเกียจ หมายความว่าในขณะนั้นนอกจากจะภาวนากระดูกสกปรกแล้ว ยังเห็นว่ามันเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ความจริงมันมีเนื้อมีหนัง เวลานี้เนื้อหนังหมดไปแล้ว มันก็เป็นอนัตตา ถ้าเราติดอยู่ในมันเราก็มีความทุกข์ จิตก็เริ่มมีความสุข เข้าถึงนิพพิทาญาณ มีความเบื่อหน่ายในสังขารของตนเอง เบื่อหน่ายในสังขารของบุคคลอื่น และเบื่อหน่ายในสังขารของทั้งหมด เป็นอันว่าจิตกำหนดไว้อย่างเดียวว่าร่างกายอย่างนี้เราไม่ต้องการมี เรียกว่านิพพิทาญาณ
เอาละ บรรดาพุทธบริษัททุกท่าน จะเป็นที่พอใจของท่านหรือไม่ก็เป็นเรื่องของท่านเวลาหมดแล้ว ต่อแต่นี้ขอทุกท่านจงพยายามตั้งทรงกายตามอัธยาศัย นั่ง นอน ยืน เดิน ได้ตามสบายจนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี
...............................
คัดลอกจากหนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า โดยคำสอนพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วันทาซุง จังหวัดอุทัยธานี (ลานธรรมจักร)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี