11 สิงหาคม 2563 เว็บไซต์ New Mandala ซึ่งรวบรวมบทความของนักวิชาการที่สนใจศึกษาประเด็นต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เผยแพร่บทความ “Moral economies: the politics of donation in Thailand under COVID-19 (โควิด-19 ปิดเมืองทางเศรษฐกิจ กับการเมืองของการปันส่วนใหม่)” เขียนโดย รศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี (PINKAEW LAUNGARAMSRI) อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื้อหาดังนี้..
“มาตรการการปิดเมือง และปิดประเทศ เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่รัฐไทยนำมาใช้เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด” มาตรการดังกล่าวอาศัยอำนาจภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งประกาศใช้ทั่วราชอาณาจักรไทย และได้เปิดโอกาสให้รัฐสามารถเข้าควบคุมการเคลื่อนย้ายและประกอบกิจกรรมของประชาชนอย่างเข้มงวด อาทิ การบังคับใช้เคอร์ฟิวห้ามมิให้ประชาชนออกจากเคหสถานระหว่าง 22.00-4.00 น. อันเป็นข้อบังคับที่ยกเลิกไปในเวลาต่อมา
The Global COVID-19 Index ได้จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่สามารถฟื้นตัวจากโควิด-19 ที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 3 จาก 184 ประเทศทั่วโลก และดีที่สุดในเอเชีย (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563) ทั้งนี้ พรก.ฉุกเฉินซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้รัฐไทยรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ ได้ถูกขยายเวลาการบังคับใช้ออกไปจนถึง 31 สิงหาคม แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะดีขึ้นเป็นลำดับแล้วก็ตาม
อันดับประเทศที่ฟื้นตัวจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เร็วที่สุดในโลก ซึ่ง ณ วันที่ 11 ส.ค. 2563 ไทยอยู่ในอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียง เดนมาร์ก เท่านั้น
ที่มา : https://covid19.pemandu.org/
ผลของมาตรการปิดเมืองนั้น ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อชีวิตของผู้คนจำนวนมหาศาลทั่วทั้งสังคม การทยอยปิดตัวลงของโรงงานและบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ได้สร้างภาวะการตกงานอย่างเฉียบพลันและหนักหน่วงต่อเนื่อง ที่แผ่ขยายเป็นวงกว้างในแทบทุกกลุ่มคนในสังคม แต่ในท่ามกลางวิกฤตการณ์เศรษฐกิจดังกล่าว ปรากฏการณ์การปันส่วนใหม่และการให้กลับได้ก่อตัวขึ้นและทำหน้าที่ทางสวัสดิการที่ถูกทอดทิ้งโดยรัฐ ภายใต้รูปแบบหลากชนิดของการแลกเปลี่ยนและแจกจ่ายทรัพยากร
เช่น การแจกพืชผลทางการเกษตร การตั้งตู้ปันอาหารและสิ่งอุปโภคบริโภค ไปจนกระทั่งการแลกข้าวกับปลา ระหว่างชุมชนในภาคเหนือและภาคใต้ เป็นต้น โดยที่กระบวนการดังกล่าวดำเนินไปนอกปริมณฑลของรัฐ อย่างไรก็ตาม การปันส่วนทรัพยากรในห้วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์โควิด-10 แม้ว่าจะทำหน้าที่ในการเสริมสร้างหลักประกันทางสังคมให้กับผู้ที่กำลังประสบกับภัยวิกฤต แต่กลับกลายเป็นปริมณฑลแห่งความย้อนแย้งทางการเมืองของการตรวจตราทางศีลธรรม
“ในขณะที่การบริจาคและการปันส่วนทรัพยากรใหม่นั้น เป็นการกระทำการเชิงสาธารณะและดำเนินไปด้วยความสมัครใจ แต่เมื่อกระบวนการปันส่วนใหม่ได้แพร่กระจายออกไป การรับบริจาคและการรับการปันส่วนโดยกลุ่มคนยากจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ถูกตราว่า ‘มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม’ กลับกลายเป็นประเด็นที่ถูกประณามทั้งจากผู้ให้ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง และจากรัฐ การให้ในภาวะโควิด-19 จึงได้กลายเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงชนชั้นผู้ร่ำรวยและชนชั้นผู้ยากจนเข้าด้วยกันผ่านปฏิสัมพันธ์เชิงศีลธรรม ที่ได้ทำหน้าที่ในการผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมที่เข้มข้นขึ้นในสังคมไทย”
เมืองอันว่างเปล่า..มีการประเมินว่าผลกระทบจากการปิดเมืองทางเศรษฐกิจในครั้งนี้นั้นรุนแรงกว่า และสร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนหลายกลุ่มที่กว้างขวางกว่าวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 หลายเท่าตัวนัก สำหรับประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลกเช่นไทย และภาคการเกษตรประสบปัญหาราคาพืชผลตกต่ำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนต้องพึ่งพารายได้จากนอกภาคเกษตรเป็นสำคัญ การสิ้นสุดลงของภาคบริการอย่างกะทันหัน ย่อมหมายถึงการตกงานของกลุ่มคนจำนวนมหาศาลที่อยู่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจที่เชื่อมร้อยกับการบริโภคชนิดต่างๆที่เคยไหลเวียนข้ามพื้นที่ทั้งในและนอกประเทศ
การปิดกั้นการไหลเวียนทางเศรษฐกิจและความไร้ประสิทธิภาพของรัฐในการคุ้มครองประชาชนในสถานการณ์โควิด-19 ได้เปลี่ยนเมืองซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของการยังชีพของกลุ่มชนที่ยากจนให้กลายเป็นที่ซึ่งโรคระบาดได้ตรึงแขวนชีวิตของพวกเขาไว้กับความชั่วคราวที่ไร้ทางออก (Pandemic abeyance) ในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลายลง แต่โศกนาฏกรรมจากการปิดล้อมในนามของโรคระบาดกลับแผ่ขยายออกไป และได้ทำลายชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนลงอย่างแสนสาหัส
“สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประเมินตัวเลขของผู้ตกงานจากภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19ไว้สูงถึง 8.4 ล้านคน โดยผู้ที่ขาดรายได้โดยสิ้นเชิง มีอัตราส่วนสูงถึง 14% ของประชากรทั่วประเทศ และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจำนวนคนว่างงานแฝงอาจสูงถึง 5 ล้านคน ในเมืองใหญ่ๆ อาทิเช่น เชียงใหม่ซึ่งเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของไทย นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่เมืองได้กลายเป็นพื้นที่อันเงียบสนิทเฉกเช่นเมืองร้าง
ในช่วงก่อนที่รัฐจะผ่อนคลายการปิดเมือง มีธุรกิจเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อผู้คนและการบริโภคเข้าด้วยกัน และหนึ่งในนั้นคือการบริการขนส่งสินค้าที่สั่งผ่านแอพพลิเคชั่นออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริการส่งอาหารผ่านรถจักรยานยนต์ ที่ได้ทำให้อาชีพส่งอาหารกลายเป็นแหล่งงานสำคัญที่รองรับผู้ตกงานจากภัยการปิดเมือง แต่แม้กระนั้นก็ตาม แม้แต่ธุรกิจดังกล่าว ก็ยังได้รับผลกระทบจากการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ และทำการเลิกจ้างคนงาน ไม่ต่างไปจากธุรกิจประเภทอื่นๆ ในวันที่ 16 มิ.ย. 2563 Grab ซึ่งเป็นธุรกิจบริการขนส่งผ่านแอปพลิเคชันใหญ่ในเอเชีย ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 5% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดซึ่งรวมทั้งในไทยเพื่อลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจลง”
รัฐไทยนั้นขึ้นชื่อว่ามีการคุ้มครองทางสังคมที่ย่ำแย่กว่าประเทศอื่นๆในเอเชีย ขณะเดียวกันกระบวนการทางราชการก็ไร้ซึ่งประสิทธิภาพ ล่าช้า และไม่ทันการต่อการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ต่างก็พยายามดิ้นรน และกระเสือกกระสนที่จะเข้าถึงเงินช่วยเหลือห้าพันบาทที่รัฐสัญญาที่จะมอบให้ บ้างก็รวมกลุ่มกันเรียกร้องสิทธิที่พึงได้จากรัฐ
(27 เม.ย. 2563) สาวใหญ่เครียดกินยาเบื่อหนูหน้ากระทรวงการคลัง ทวงถามสิทธิรับเงินเยียวยา 5 พัน
ที่มา : https://www.naewna.com/local/489255
เช่น กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน” ซึ่งรวมตัวกันทวงสิทธิให้รัฐนำเงินสมทบชราภาพจากกองทุนประกันสังคมออกมาบรรเทาความเดือดร้อน การชุมนุมของคนหาเช้ากินค่ำ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการรับการเยียวยาจากรัฐ กลายเป็นข่าวพาดหัวที่เกิดขึ้นตลอดช่วงของการปิดเมือง ในวันที่ 28 เมษายน หญิงตกงานรายหนึ่งซึ่งถูกไล่ออกจากห้องเช่า ได้ตัดสินใจกินยาเบื่อหนูเพื่อฆ่าตัวตายหน้ากระทรวงการคลัง หลังจากรอเงินเยียวยาจากรัฐจำนวน 5,000 บาทมาเป็นเวลานาน
“ในขณะเดียวกัน การฆ่าตัวตายรายวันของผู้คนก็เกิดขึ้นราวกับใบไม้ร่วง และต่อเนื่องมาแม้จนปัจจุบัน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน หญิงสาวเจ้าของธุรกิจกลางคืนรายหนึ่ง ได้ฆ่าตัวตาย โดยสามีของเธอได้ตั้งคำถามในเฟสบุ๊คถึงรัฐบาลว่า จะรอให้ตายอีกกี่คน ถึงจะให้ธุรกิจกลางคืนเปิดได้ รัฐบาลเป็นคนสั่งปิด แต่ไม่ดูแลเยียวยา วันนี้เป็นคิวเมียผมที่ฆ่าตัวตาย”
การให้ การปันส่วนใหม่และการแลกเปลี่ยน..ในท่ามกลางการชะงักงันของระบบทุนนิยมและเศรษฐกิจแบบตลาด และความล้มเหลวในการช่วยเหลือประชาชนของรัฐ การปันส่วนใหม่ (Redistribution) การให้ และการแลกเปลี่ยน กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่แผ่ขยายไปในเมืองต่างๆทั่วประเทศ ปรากฏการณ์ดังกล่าวในแง่หนึ่ง สะท้อนวิธีคิดทางเลือกว่าด้วยเศรษฐกิจ ที่มีมนุษย์และสังคมเป็นศูนย์กลาง หรือเศรษฐกิจที่แฝงฝังอยู่ในสังคม (Embeddedness) ซึ่งดำเนินไปนอกปริมณฑลของเศรษฐกิจตลาด ตามแนวคิดของคาร์ล โปลานยี (Karl Polanyi 1977)
ในห้วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจทางเลือกของการแบ่งปันทรัพยากรและการให้ได้เชื่อมร้อยผู้คนกลุ่มต่างๆเข้าด้วยกันในความพยายามที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด “ตลอดเวลากว่าสามเดือนของวิกฤตการณ์ปิดเมือง ประชาชนที่พอมีทุนทรัพย์ต่างก็นำทรัพยากรออกมาจ่ายแจก” ทั้งในรูปแบบของอาหารปรุงสำเร็จ ข้าวและพืชผักผลไม้ เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ตลอดจนเงิน ภายใต้รูปแบบของการกระจายที่หลากหลาย นับตั้งแต่การนำอาหารที่ปรุงสำเร็จบรรจุถุงพลาสติกหรือภาชนะ มายืนแจก ณ จุดต่างๆในตัวเมือง
(11 พ.ค. 2563) ที่แรกในปทุมฯ ปชช.นำสิ่งของใส่'ตู้ปันสุข'จนเต็ม หวังช่วยเหลือคนเดือดร้อน
ที่มา : https://www.naewna.com/local/492173
การแจกอาหารของร้านอาหารต่างๆ การเปิดโรงทานแจกอาหารของวัด การรับบริจาคเงินเพื่อซื้อคูปองไว้กับร้านอาหารเพื่อให้ผู้ที่เดือดร้อนใช้คูปองนั้นซื้ออาหาร การระดมทุนเพื่อนำเงินและเครื่องอุปโภคบริโภคไปแจกจ่ายให้กับแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้รับสิทธิการเยียวยาจากรัฐ ตลอดจนการตั้งตู้ปันสุข (Pantries of sharing) เพื่อแจกจ่ายอาหาร อันเป็นแนวคิดซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากต่างประเทศ และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทุกจังหวัดของไทย ทำให้มีตู้ดังกล่าวอยู่จำนวนนับพันตู้ทั่วประเทศ ในช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มคนที่ตกงานจำนวนไม่น้อย ใช้เวลาในแต่ละวันหมดไปกับการยืนเข้าแถวรอคิวรับอาหาร และวิ่งรอกตระเวนรับอาหารจากจุดต่างๆทั่วเมือง
“สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ที่ให้และแบ่งปันทรัพยากรนี้ ไม่ได้มีแต่เพียงชนชั้นกลาง หรือกลุ่มธุรกิจที่มีฐานะดีเท่านั้น แต่แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ก็ยังร่วมนำสิ่งของที่พอมีไปบริจาคให้กับผู้ที่เดือดร้อนกว่าตน กลุ่มคนที่ว่านี้รวมไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง ผู้ซึ่งมักถูกรัฐและชนพื้นราบตราหน้าว่าเป็นผู้ทำลายป่า หรือไม่ก็สร้างปัญหาหมอกควันให้กับเมือง”
ในช่วงวิกฤตของเมืองนับตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา กลุ่มชาติพันธุ์บนภูเขาหลากหลายกลุ่มต่างพากันขนข้าวและพืชผักที่พวกเขาปลูกลงจากดอย นำมาแจกจ่ายให้กับคนในเมือง กำนันชาวม้งจากอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่คนหนึ่ง ได้นำชาวบ้านในหมู่บ้านขนกะหล่ำปลีกว่า 1 หมื่นกิโลกรัมลงมาแจกให้กับคนในเมือง โดยให้เหตุผลว่า ที่เอาผลผลิตมาแจกจ่ายนั้นก็เพราะคนในเมืองเป็นผู้ที่ซื้อผลิตผลของคนบนดอยมาโดยตลอด
ศิวกร โอ่โดเชา ชาวปกาเกอะญอจากอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้รวบรวมข้าวสารจากชาวบ้านนำไปแจกจ่ายให้คนในเมือง ได้กล่าวว่า “การแบ่งปันข้าวให้กับคนในเมืองนั้นก็เพื่อตอบแทนน้ำใจที่กลุ่มคนในเมืองเคยร่วมกันบริจาคอุปกรณ์ดับไฟให้กับชาวบ้านบนดอย” ในยามที่พวกเขาเผชิญกับปัญหาไฟป่าที่หนักหนาสาหัสนับตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา และสำหรับชาวบ้านแม่แฮเหนือ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่นั้น วิกฤตของเมืองได้เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เปลี่ยนบทบาทจากผู้รับกลายเป็นผู้ให้
ดังข้อความของผู้บริจาคชาวปกาเกอะญอรายนี้ “พวกเราไม่มีเนื้อสัตว์ผัดน้ำมันหอย แต่เราคนดอยมีข้าวสารกับผักกาด ในยามที่บนดอยอากาศหนาวเย็น ขาดเครื่องเขียนอุปกรณ์ การเรียน สมุดปากกา ดินสอ เครื่องนุ่งห่ม พี่น้องในเมืองได้นำมาบริจาค ให้กับเรา” ในแง่นี้ การปิดเมืองจึงไม่เพียงได้เปิดโอกาสให้กับการตอบแทน “หนี้การพัฒนา” ที่ชนชายขอบมีต่อเมืองศูนย์กลาง แต่ยังกลับด้านบทบาทระหว่างผู้ให้กับผู้รับอีกด้วย
นอกจากนี้แล้ว “ในช่วงเวลาแห่งการชะงักงันชั่วคราวของเศรษฐกิจแบบตลาด เรายังได้เห็นการทดลองเศรษฐกิจทางเลือกในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter system) ระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ที่ไม่ผ่านตลาดในการกำหนดราคา” เช่น การแลกข้าวกับปลา ระหว่างชนบนดอยในภาคเหนือและชาวอีสาน กับชาวประมงและกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในหมู่เกาะทางใต้ของไทย ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มองค์กรต่างๆ และสถาบันวิชาการ
(27 เม.ย. 2563) ข้าวแลกปลา! ชาวกะเหรี่ยงขน ‘ข้าว’ จากดอย แบ่งปันชาวเล กว่า 7 ตัน
ที่มา : https://www.naewna.com/likesara/489212
ทั้งนี้การปิดเมืองไม่เพียงส่งผลต่อชีวิตของคนในเมืองเท่านั้น หากแต่ยังสร้างผลกระทบต่อชาวบ้านในเมืองชายทะเลที่เคยพึ่งพิงรายได้หลักจากการท่องเที่ยว และชาวประมงที่มีผลผลิตปลาล้นเกิน แต่ไม่สามารถนำออกไปขายได้ การแลกเปลี่ยนทางตรงจึงเป็นกิจกรรมทางเลือกที่น่าสนใจ ที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ดังคำกล่าวของชาวเลในชุมชนราไวย์ จังหวัดภูเก็ตในการแลกเปลี่ยนปลาแห้งกับข้าวของชาวปกาเกอะญอจากหมู่บ้านที่ไกลโพ้นบนภูเขาว่า
“ชาวเลมีปลาแต่ขายไม่ได้เพราะถูกปิดทั้งสะพานสารสินและตำบลราไวย์ เราได้ปลามาทุกวัน จึงเป็นไปได้มั้ยว่าเอาปลาไปแลกกับข้าวของชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นข้อเสนอที่ดีมาก เพราะตอนนี้ปลาขายได้แค่ในพื้นที่ราไวย์ ซึ่งขายได้ไม่มาก แต่ปลาขึ้นมาวันละนับร้อยกิโลกรัม ดังนั้นการทำปลาตากแห้งนำไปแลกกับข้าวจึงเป็นไอเดียที่ดี”
เช่นเดียวกับการให้ และการแบ่งปันใหม่ การแลกเปลี่ยนทางตรงเพื่อช่วยเหลือกันและกันของประชาชน เป็นยุทธศาสตร์การดำรงชีพของผู้คนที่ไม่เพียงถักทอขึ้นนอกปริมณฑลความสัมพันธ์กับรัฐ หากแต่ยังตั้งคำถามต่อการดำรงอยู่ของรัฐในฐานะผู้ที่ควรจะทำหน้าที่ในการบรรเทาความเดือดร้อนของพลเมืองของตนอีกด้วย
การเมืองของการให้และการแบ่งปันใหม่..แต่การให้ การแบ่งปันใหม่ และการแลกเปลี่ยน อันเป็นปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในสภาวะโควิด-19 ก็มิได้เป็นปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ดำเนินไปบนตรรกะทางศีลธรรมแนวราบอันโรแมนติกระหว่างผู้คนที่ปลอดพ้นจากการเมืองและอำนาจทางชนชั้น ในทางตรงกันข้าม “การให้ในยุคแห่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการกระทำที่ทั้งถูกทำให้เป็นการเมือง” และทั้งเป็นการแสดงออกทางการเมือง ที่ได้ผลิตสร้างความย้อนแย้งขึ้นในความสัมพันธ์ทั้งระหว่างรัฐกับพลเมือง และระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่าง
ทั้งนี้ในขณะที่รัฐล้มเหลวในการทำหน้าที่ในการ “ให้” และช่วยเหลือประชาชน การตรวจจับเชิงศีลธรรมกลับกลายเป็นเครื่องมือที่รัฐนำมาใช้ เพื่อแทรกตัวเข้าไปในความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน และในการแสดงให้เห็นถึงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของการคุมกฎของรัฐที่มีต่อประชาชน ในท่ามกลางความอดอยากของประชาชน “การจัดระเบียบสังคม” พร้อมด้วยบทลงโทษ ได้ถูกใช้เพื่อสร้างวินัยให้กับ “การให้” โดยที่รัฐได้กำหนดให้การแจกจ่ายข้าวของนั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐเสียก่อนจึงจะทำได้
“ในกรุงเทพมหานคร การแจกจ่ายทรัพยากรจะต้องทำภายในจุดที่รัฐกำหนดเท่านั้น ดังที่เจ้าหน้ารัฐนายหนึ่งได้ให้เหตุผลต่อการจับกุมหญิงสาวที่นำของมาแจกว่า ‘กรณีดังกล่าวมีวัตถุพยานชัดเจน เนื่องจากมีการนำยานพาหนะมาใช้ในการแจกของ แต่ไม่ได้มีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือสำนักงานเขต… ให้ทราบเรื่องแต่อย่างใด เพราะเมื่อแจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบแล้ว ก็จะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้าดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุความวุ่นวายในลักษณะดังกล่าว ซึ่งก็เข้าใจความหวังดีของผู้มาบริจาค แต่ต้องมีระเบียบวินัยและต้องใช้มาตรการรักษาระยะห่างเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรคโควิด-19’ ในห้วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์ การรักษาระเบียบกลับกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเหนือการรักษาชีวิตของผู้คน และได้ทำให้การให้โดยไม่ผ่านการอนุญาตจากรัฐต้องกลายเป็นการกระทำเชิงการเมืองที่ถูกควบคุมกำกับอย่างเข้มงวด”
นอกจากนี้แล้ว การเมืองของการให้ ยังได้ถูกทำให้เป็นการเมืองเชิงศีลธรรม เมื่อ “การรับ” ถูกขีดเส้นและกำกับอย่างเข้มงวดว่าเช่นไร จึงจะเป็นการรับที่ถูกต้องตามมาตรวัดทางศีลธรรมของผู้ให้ การแพร่ขยายของโครงการที่เป็นที่ภาคภูมิใจของชนชั้นกลางเช่นตู้ปันสุข จึงดำเนินไปพร้อมๆกับการก่นประณาม “พฤติกรรม” การรับของของชนชั้นล่างที่ “ละโมบโลภมาก” และ “ไม่รู้จักพอ” โดยเฉพาะเมื่อของที่ชนชั้นกลางนำมาบริจาคนั้น ถูกกวาดไปจนหมด หรือถูกนำไปขายต่อ “สำหรับชนชั้นกลางแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวบ่อนเซาะศีลธรรมเชิงบุญคุณของการให้ที่ริเริ่มโดยชนชั้นกลาง” ที่แม้แต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังผสมโรงในการก่นประณาม และเสนอแนวทางในการตรวจจับโดยกล้องวงจรปิด
“ในทัศนะของชนชั้นกลางนั้น ภาพของคนยากจนที่ ‘เอาสิ่งของ’ ไปอย่าง ‘ไม่เกรงใจ’ เป็นปฏิบัติการที่ล่วงละเมิด ‘ศีลธรรมเชิงบุณคุณ’ อันศักดิ์สิทธิ์ ของผู้ให้ภายในวัฒนธรรมแบบไทยๆ ที่ซึ่งการรู้สึกขอบคุณนั้นเป็นสิ่งที่ถูกคาดหวังเมื่อได้รับสิ่งของที่ได้เปล่า ในขณะเดียวกันการแสดงออกถึงความขอบคุณก็เป็นสิ่งที่มักได้รับการยกย่องเชิงศีลธรรม การรู้จัก ‘พอเพียง’ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการแสดงออกถึงความขอบคุณดังกล่าว ในขณะที่การ ‘ไม่รู้จักพอ’ นั้นเป็นด้านกลับของการสำนึกในบุญคุณ การให้ จึงไม่ใช่การกระทำทางเดียว หรือตั้งอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นกลางภายใต้ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมระหว่างผู้ให้ซึ่งเป็นคนรวยกับผู้รับคนยากจน แน่นอนที่ว่าผู้ที่กำหนดศีลธรรมเชิงบุญคุณนั้นย่อมได้แก่คนรวย”
แต่สำหรับชนชั้นล่างแล้ว การรับและนำมาปันส่วนใหม่ถูกตีความด้วยศีลธรรมคนละชนิด สำหรับพวกเขาแล้ว การปันส่วนใหม่นั้นเป็น ‘เศรษฐกิจศีลธรรม’ ซึ่งได้แก่การจัดการทางสังคม ที่ช่วยต่อชีวิตที่อดอยากและไร้ที่พึ่งจากรัฐของพวกเขาให้สามารถดำรงอยู่ได้ ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ปราศจากความเสมอภาค การให้และการบริจาคจึงเปรียบเสมือนหน้าที่ในความรับผิดชอบทางศีลธรรมอย่างหนึ่ง และในกรอบคิดเช่นนี้ แม้แต่การขายต่อของบริจาค ก็ถือเป็นการกระทำการเพื่อช่วยเหลือคนจนด้วยกันชนิดหนึ่ง
หญิงรายหนึ่งที่ถูกวิพากษ์อย่างหนักในการที่เธอนำข้าวของที่มีผู้บริจาคจากตู้ปันสุขมาขาย ได้อธิบายว่า ที่มีคนบอกว่าป้าเอาของจากตู้ปันสุขมาขายต่อนั้นไม่เป็นความจริง ของที่เอามาขายต่อป้าไปซื้อมาขายอีกที โดยป้าได้ไปรับซื้อของบริจาคจากคนเร่ร่อนที่อยู่แถวสถานีรถไฟหัวลำโพงมาขายต่อเท่านั้น เพราะสงสารคนเร่ร่อน เนื่องจากพวกเขาไม่มีอุปกรณ์ปรุงอาหาร จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือหุงข้าวก็ทำไม่ได้ จึงรับซื้อเพื่อให้สามารถนำเงินไปซื้อข้าวกินแทน ขณะที่ตัวป้าเองก็เอามาขายต่อในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดเพื่อเอากำไรเล็กๆ น้อยๆ พอประทังชีพไปเท่านั้น”
การประทะกันระหว่างศีลธรรมเชิงบุญคุณของชนชั้นกลาง กับเศรษฐกิจเชิงศีลธรรมของคนยากจน ได้ชี้ให้เห็นถึงการแยกความแตกต่างทางชนชั้นที่แสดงออกมาในการเมืองของการให้ในห้วงเวลาของโควิด-19 การให้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางศาสนา หรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม จึงไม่เคยเป็นความสัมพันธ์ทางเดียวที่เป็นเอกเทศ หากแต่เป็นปริมณฑลของการแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์ทางสังคมที่ไม่เท่าเทียม ที่ทำหน้าที่ในการผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางอำนาจอันเหลื่อมล้ำที่ดำรงอยู่ก่อนแล้วระหว่างผู้ให้ผู้ร่ำรวยกว่ากับผู้รับที่ยากจน (โปรดดู Bowie 1998)
(11 พ.ค. 2563) หยิบแต่พอดี? ชาวบ้านแย่งของใน'ตู้ปันสุข' จนต้องย้ายตู้หนี (คลิป)
ที่มา : https://www.naewna.com/likesara/492076
ศีลธรรมเชิงบุญคุณชนิดนี้ ไม่ได้เพียงจรรโลงอำนาจในการครอบงำที่ชนชั้นกลางมีต่อชนชั้นล่างเท่านั้น หากแต่ยังถูกฉวยใช้โดยรัฐ ผู้พร้อมที่จะแทรกตนเข้าไปในความสัมพันธ์ของการแลกเปลี่ยนที่ตนไม่ได้มีส่วน และเปลี่ยนศีลธรรมของการแบ่งปันให้กลายเป็นพื้นที่ทางการเมืองของจับจ้อง ควบคุม และตรวจตราทางอำนาจอีกด้วย สำหรับชนชั้นล่างที่ยากจนแล้ว
การพยายามดิ้นรนที่จะอยู่รอดในภาวะปิดเมืองและการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ จึงไม่เพียงได้แก่การพยายามเสาะแสวงหาช่องทางในการดำรงชีพที่มีอยู่อย่างจำกัด และเคลื่อนตัวไปยังแหล่งทรัพยากรต่างๆที่ถูกนำมาแบ่งปันภายในเมืองเท่านั้น หากยังต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับศีลธรรมเชิงบุญคุณที่มาพร้อมกับการตรวจตรากำกับภายใต้การเมืองของการแบ่งปันอีกด้วย
ดังที่ชายคนหนึ่งได้ให้เหตุผลกับผู้เขียนในการเลือกมาเอาของในตู้ปันสุขที่เล็กและห่างไกลจากแหล่งชุมชนว่า “เพราะว่าที่นี่ไม่ค่อยมีคน (มอง)” การหลีกเลี่ยงจากอำนาจแห่งการจับจ้อง จึงเป็นทางเลือกในการต่อรองที่มีอยู่ไม่มากนักของคนจนในเมืองที่ช่วยให้พวกเขาสามารถรักษาชีวิต ไปพร้อมๆกับรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้!!!
ขอบคุณเรื่องจาก
https://www.newmandala.org/moral-economies-the-politics-of-donation-in-thailand-under-covid-19/
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี