การแสดงภาพนิมิตให้ปรากฏแก่จิตตภาวนานั้น จะขอยกตัวอย่างมาให้ท่านผู้อ่านทราบพอเป็นเครื่องเทียบเคียงกับนิมิตทั้งหลายที่เคยปรากฏแก่จิตตภาวนาของท่านพระอาจารย์มั่น (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) เสมอมา ซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ กันตามรูปการณ์ของผู้เป็นต้นเหตุแห่งนิมิตนั้น ๆ คือ
มีพระรูปหนึ่งเมื่อเป็นฆราวาสเธอเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในวงการมวย เวลาบวชแล้วเกิดความเลื่อมใสอยากออกปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน ได้ทราบกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่นว่า เป็นพระปฏิบัติดีและเชี่ยวชาญทางจิตตภาวนาน่าเคารพเลื่อมใสมาก จึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปสำนักท่านพระอาจารย์มั่น แต่ขณะที่จะออกเดินทางไปหาท่าน มิได้นึกเฉลียวใจเรื่องของตัว คือเธอได้ถ่ายภาพนักมวยชกกันท่าต่าง ๆ ไว้ในกระเป๋าราว ๑๐ กว่าแผ่นติดย่ามไปด้วย แต่ตอนเธอถ่ายภาพนั้นจะถ่ายแต่เมื่อไรท่านมิได้เล่าให้ฟัง
เวลาเธอออกเดินทางจากพระนครไปเชียงใหม่ หาท่านพระอาจารย์มั่นที่อยู่ในภูเขาลึก จึงนำติดตัวไปด้วย พอไปถึงก็กราบรายงานตัวและความประสงค์ถวายท่านให้ทราบ ขณะนั้นท่านก็มิได้พูดเป็นเชิงตำหนิหรือชมเชยแต่อย่างใด เป็นอันว่าท่านรับให้อยู่ในสำนักด้วย
ตกกลางคืนท่านคงพิจารณาเรื่องพระรูปนั้นอย่างละเอียดแน่นอน พอตอนเช้าเวลาพระมารวมกันที่บริเวณที่ฉัน ท่านก็ออกมาพอดี และเริ่มพูดเรื่องพระรูปนั้นออกมาทันทีว่า... ท่าน...นี้ตามเจตนาเดิมก็มุ่งมาเพื่อศึกษาอรรถธรรม มองดูอากัปกิริยาที่แสดงออกก็ไม่แสลงหูแสลงตา เป็นกิริยาที่น่าสงสาร แต่คืนนี้ทำไมท่านนี้แสดงกิริยาน่ากลัวพิลึก คือผมกำลังนั่งภาวนาอยู่ ปรากฏว่าท่าน...เดินมาอยู่ตรงหน้าผม ห่างกันประมาณหนึ่งวาเศษ แล้วตั้งหมัดตั้งมวยออกท่านั้นท่านี้ให้ผมดูอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยถอยห่างออกไป จากนั้นก็เดินชกลมชกแล้งเตะเมฆเตะหมอก เตะซ้ายถีบขวาไปจนลับสายตา ท่านนี้เคยเป็นนักมวยมาหรืออย่างไรก่อนจะมาบวช ถึงได้แสดงลวดลายนักมวยให้ดูเป็นการใหญ่
ขณะนั้นพระที่อยู่กับท่านและพระที่เป็นนักมวย ต่างนั่งนิ่งเงียบด้วยความฉงนสนเท่ห์ เฉพาะรูปนั้นมองดูหน้าซีดเซียวไปหมด
ว่าอย่างไรท่าน... ท่านเป็นอย่างไรในความรู้สึกถึงได้มาทำอย่างนั้นให้ผมดู แต่ดีอยู่หน่อยที่ไม่มาต่อยเอาผมเข้า
เช้าวันนั้นท่านพูดเพียงเท่านั้นก็ยุติเพราะได้เวลาออกบิณฑบาต หลังจากนั้นก็มิได้พูดอะไรต่อไปอีก ตกกลางคืนท่านอบรมพระเสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันไป เรื่องก็ไม่มีอะไร พอตกกลางคืนท่านคงพิจารณาพระรูปนั้นอีก จึงได้เรื่องพระรูปนั้นมาพูดอีกในเช้าวันต่อมาว่า
ท่าน...นี้ท่านมาหาผมเพื่ออะไรแน่ คืนนี้ท่านก็มาตั้งหมัดตั้งมวยโดดโน้นเตะนี้ให้ผมดูเกือบตลอดคืน เรื่องท่านแสดงความผิดปกติของพระผู้มาด้วยเจตนาหวังดีมาได้สองคืนแล้ว ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ทั้งก่อนจะมาหาผมและขณะที่มาอยู่กับผมขณะนี้ "นิมนต์ท่านเล่าความจริงให้ผมฟังด้วย ไม่เช่นนั้นผมเห็นจะรับท่านไว้ในสำนักไม่ได้ เพราะเป็นมาได้สองคืนแล้ว ที่ผมไม่เคยปรากฏลักษณะนี้มาก่อนเลย"
พระรูปนั้นนั่งตัวสั่นเทา ๆ มองดูหน้าซีดไปหมดเหมือนคนจะเป็นลมและจะล้มลงในขณะนั้น พอดีมีพระรูปหนึ่งท่านเห็นท่าไม่ดี เลยรีบกราบเรียนขอโอกาสท่านอาจารย์มั่นพูดกับเธอ ซึ่งกำลังจะสลบอยู่ในขณะนั้นว่า... นิมนต์ท่าน กราบเรียนท่านอาจารย์โดยตรง ตามเรื่องที่ท่านมีความรู้สึกอย่างไร เพราะเท่าที่ท่านอาจารย์ถามก็เพื่อทราบความจริงเท่านั้น มิได้มุ่งความเสียหายแก่ท่านแม้น้อยแต่อย่างไร เท่าที่พวกผมอยู่กับท่านมาก็ใช่อยู่กันด้วยความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสโดยไม่มีความผิดที่จะมิให้ท่านดุด่าว่ากล่าวอะไรได้ แต่อยู่ด้วยกันในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ซึ่งเหมือนพ่อแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน ย่อมมีการดุด่าว่ากล่าวกันตลอดมา ในเมื่อผู้ใดทำผิดหูผิดตาท่านในฐานะที่ท่านเป็นครูอาจารย์ผู้สอดส่องมองดูเพื่อความดีงามของบรรดาศิษย์ ก็จำต้องมีการสอบถามและว่ากล่าวสั่งสอนไปตามเหตุการณ์
พวกผมเคยถูกดุด่าว่ากล่าวจากท่านมาเป็นประจำยิ่งกว่าที่ท่านว่าให้ท่านเสียอีก ขนาดไล่หนีจากวัดในเดี๋ยวนั้นก็ยังมี แต่ก็ยังอยู่กับท่านมาได้จนทุกวันนี้ เมื่อรู้สึกโทษและยอมตนว่าผิดแล้ว ท่านเองก็ไม่เห็นขับไล่ไสส่งไปไหนอีก คงอยู่ด้วยกันมาดังที่ท่านเห็นอยู่ขณะนี้แล คำที่ท่านกำลังเตือนท่านอยู่ขณะนี้ขอนิมนต์พิจารณาด้วยดี ตามที่พวกผมฟังดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรพอจะกลัวท่านจนเลยขอบเขตแห่งความพอดี ถ้าท่านมีอะไรก็นิมนต์กราบเรียนท่านตามความจริง เมื่อไม่มีอะไรผิดหรือสุดวิสัยที่จะคิดค้นมาเล่าถวายได้ ก็กราบเรียนท่านโดยตรงว่าสุดวิสัยที่จะตามรู้ในเรื่องอดีตที่ล่วงมาแล้ว ท่านจะฆ่าก็ยอมตาย ท่านจะขายก็ยอมเป็นสินค้า ท่านจะขับไล่ไสส่งไปไหนก็สุดแต่กรรมของตัวจะพาให้เป็นไป ดังนี้แล้วเรื่องก็จะยุติลงได้
พอท่านองค์นั้นพูดจบลง ท่านอาจารย์ก็ถามเธอซ้ำอีกว่า... ว่าอย่างไรเล่าท่าน? ผมเองก็มิได้คิดจะหาเรื่องหาราวอะไรใส่ท่านโดยไม่มีสาเหตุ แต่พอหลับตาลงไปก็เห็นแต่เรื่องท่านมาขวางหน้าอยู่แทบทั้งคืน จนเกิดความสลดสังเวชใจว่า พระทั้งองค์ทำไมมาเป็นได้อย่างนี้ และเป็นได้ทุกคืนที่ท่านมาอยู่กับผมที่นี่แล้ว ก็ต้องถามท่านผู้เป็นต้นเหตุว่า ท่านจะมีอะไรที่ไม่ดีไม่งามอยู่บ้างจึงมาแสดงเหตุอย่างนั้นไม่ยอมลดละ หรือว่าความรู้ผมซึ่งเคยเชื่อแน่ในใจตลอดมานั้นมันหลอกลวงผมและทำให้ท่านเสื่อมเสียไปด้วย จึงขอให้ท่านพูดตามความสัตย์จริงให้ผมฟัง ถ้าท่านยังบริสุทธิ์ดีอยู่ เป็นแต่ความรู้ผมมันพาให้เป็นบ้าไปเอง ก็เท่ากับผมก็เป็นพระบ้าองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ควรอยู่กับหมู่คณะต่อไป จะทำให้หมู่พวกล่มจมไปด้วย ต้องหนีไปเที่ยวซุกซ่อนตัวอยู่ตามแบบบ้าของตน และต้องระงับการอบรมสั่งสอนใคร ๆ ทันที ขืนสั่งสอนต่อไปโลกจะฉิบหายล่มจมไปเสียหมด เพราะความรู้บ้า ๆ ของผมเพียงคนเดียวเป็นสาเหตุ
ท่านที่เคยเตือน ๆ เธอซ้ำอีก เธอจึงเริ่มกราบเรียนเรื่องราวต่อท่านอาจารย์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแทบไม่เป็นเสียงผู้เสียงคนว่า "ผมเป็นนักมวย"
เท่านี้ก็หยุดเอาอย่างห้วน ๆ ท่านถามย้ำอีกว่า... ท่านเป็นนักมวยใช่ไหม
เธอตอบว่า ใช่ เพียงคำเดียวเท่านั้น
ท่านถามว่า... ก็ท่านกำลังเป็นพระอยู่แล้วไปเป็นนักมวยได้อย่างไรกัน หรือเวลาท่านมาที่นี่ก็ชกมวยหาเงินมาตามทางด้วยอย่างนั้นหรือ?
ท่านถามอะไร เธอเป็นเหมือนไม่มีสติรับทราบเรื่องผิดถูกดีชั่วอะไรเลย มีแต่ ครับ เอาเสียเรื่อย ท่านที่เคยพูดกับเธอ จึงถามเป็นเชิงชักจูงให้เธอได้สติรับทราบบ้างว่า... มิใช่ท่านเคยเป็นนักมวยแต่คราวเป็นฆราวาสโน้น เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็น อย่างนั้นอีกมิใช่หรือ?
เธอตอบว่า... ใช่ เป็นนักมวยมาแต่คราวเป็นฆราวาส แต่เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็นอีก
ท่านอาจารย์มั่นเห็นอาการไม่ดี จึงหาอุบายว่าได้เวลาบิณฑบาต หลังจากนั้นท่านก็สั่งพระให้ไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ เพราะเธอพูดกับท่านอาจารย์ไม่ได้เรื่อง เนื่องจากเธอกลัวท่านมาก
หลังจากฉันเสร็จแล้ว พระที่เคยพูดกับเธอ จึงถือโอกาสไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ ก็ได้ความว่า เธอเคยเป็นนักมวยสวนกุหลาบผู้มีชื่อเสียงมาหลายปี เกิดความเบื่อหน่ายทางฆราวาสจึงออกบวชเป็นพระ มุ่งหน้ามาหาท่านอาจารย์ พอได้ทราบความชัดเจนจากเธอแล้ว ก็มากราบเรียนท่านอาจารย์ให้ทราบตามเรื่องที่เป็นมา ท่านก็มิได้ว่าอะไรต่อไป เรื่องของเธอก็เป็นอันผ่านไป
นึกว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องของเธอไปเรียบร้อยแล้ว เพราะตอนกลางคืนท่านให้โอวาทเธอองค์นั้นบ้างแล้วก็คงจะไม่ปรารภอะไรอีก แต่ที่ไหนได้ ตอนกลางคืนท่านพิจารณาเรื่องของเธออีก ตอนเช้าก็ได้เรื่องเธอมาพูดในท่ามกลางหมู่คณะอีกตามเคยว่า... เรื่องท่าน...นี้ยังไม่มีแต่ความเคยเป็นนักมวยเท่านั้น แต่ยังมีอะไรแฝงอยู่อีก ขอให้ท่านไปพิจารณาให้ดีอีกที เพียงเคยเป็นนักมวยมาแต่ฆราวาสเท่านั้น เรื่องก็ควรยุติไปแล้วไม่ควรมาปรากฏซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีกทำนองนี้
พูดเพียงเท่านั้นก็หยุด พอได้โอกาสพระองค์ที่คุ้นเคยกับเธอก็ไปหาเธอและถามเรื่องราวนั้นอีก ก็ทราบว่าเธอมีรูปภาพคนชกมวยท่าต่าง ๆ ติดมาด้วย จึงให้เธอเอาออกมาดูก็ได้เห็นภาพมวยท่าต่าง ๆ ราว ๑๐ กว่าแผ่น พระที่ไปดูก็ปักใจลงว่า ต้องเป็นภาพนี้แน่นอนที่ทำให้ท่านเดือดร้อนอยู่ไม่หยุด จงเอาไปทิ้งหรือเผาไฟเสีย เธอก็ปฏิบัติตามและพากันเอาภาพนั้นไปเผาไฟทิ้งจนหมด
จากนั้นก็มิได้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป ต่างอยู่ด้วยความสงบสุข เธอเองก็เป็นพระปฏิบัติดีมีมรรยาทที่น่าเลื่อมใส ท่านอาจารย์เองก็เมตตาเธอมากตลอดมา โดยมิได้พูดถึงเรื่องอดีตของเธออีกต่อไป จากนั้นเธอก็อยู่ด้วยความผาสุก
เวลามีโอกาส พระก็ถามเป็นเชิงล้อเล่นกับเธอเกี่ยวกับเรื่องอดีต เธอพูดให้พระฟังถึงเรื่องท่านอาจารย์ดุเธอว่า... เธอตายไปครึ่งหนึ่งแทบไม่มีความรู้สึกรับรู้เรื่องดีชั่วอะไรเลย จึงได้ตอบท่านไปแบบคนตายครึ่งมิใช่คนเต็มเต็ง ถ้าท่านไม่ช่วยเมตตาอนุเคราะห์แล้วคงจะเป็นบ้าไปเลย (คำว่าท่านหมายถึงพระองค์ที่ช่วยพูดแทน) ไม่มีวันกลับเป็นคนดีได้แน่ ๆ แต่ท่านอาจารย์เองท่านก็ฉลาดมาก พอเห็นเราจะเป็นบ้าและตายต่อหน้าท่าน ท่านก็รีบระงับเรื่องลงทันที แล้วพูดเรื่องอื่นมากลบเสีย ทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องนี้อยู่ในใจท่านเลย
นี้คือภาพที่ปรากฏทางนิมิตภาวนาที่ท่านเคยใช้เป็นคู่เคียงกันตลอดมามิได้ลดละ เพราะเป็นธรรมจำเป็นไม่ด้อยกว่าปรจิตตวิชชา การกำหนดรู้วาระจิตของผู้อื่น
ท่านเล่าว่าท่านพักอยู่ที่เชียงใหม่มีประสบเหตุการณ์ทั้งภายในโดยเฉพาะ และเกี่ยวกับสิ่งภายนอกมากมายกว่าที่ทั้งหลายที่เคยผ่านมาในชีวิตแห่งนักบวช สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นก็รู้เห็นขึ้นมาเป็นขึ้นมา ทั้งน่าตื่นเต้นอัศจรรย์ตลอดมา ยิ่งเวลาพักอยู่คนเดียวด้วยแล้ว ก็ยิ่งพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของลึกลับมากมาย แม้ตัวเองก็ไม่อาจจะประมาณได้ เพราะจิตที่เป็นธรรมชาติรู้เห็นตามวิสัยของตน หากรู้เห็นอยู่ทำนองนั้นรู้เห็นในเวลาเข้าที่ก็มี เวลาธรรมดาก็มี จึงน่าแปลกประหลาดและอัศจรรย์ จิตดวงที่เคยโง่และมืดมิดปิดทวารมาแต่ก่อน ซึ่งไม่คาดฝันว่าจะสามารถรู้เห็นได้ดังที่รู้ ๆ เห็น ๆ อยู่กับเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องในปัจจุบัน ประหนึ่งสิ่งที่มาเกี่ยวข้องนั้น ๆ เพิ่งจะมีขึ้นในปัจจุบัน ทั้งที่เคยมีอยู่ดั้งเดิมแต่กาลไหนกาลไรมา
นอกจากเวลาจิตเข้าพักสงบเต็มที่ ล่วงเลยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องถึงเท่านั้น จึงไม่มีอะไรปรากฏในเวลานั้น จิตพักอยู่ด้วยธรรม ธรรมอยู่ด้วยจิต จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เป็นเอกภาพ คือธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกัน ไม่มีสองกับอะไร ไม่มีสมมุติใด ๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง กาลไม่มี สถานที่ไม่ปรากฏ ขันธ์ไม่มีในความรู้สึก สุขทุกข์ที่เป็นสมมุติไม่ปรากฏ ถ้าจิตไม่ถอนขึ้นมาจะอยู่ไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปี หรือกี่กัป กี่กัลป์ ก็ไม่ปรากฏสมมุติ มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นต้น เข้าไปรบกวน เพราะเป็นความดับสมมุติอย่างสนิท แม้สมมุติทั้งหลายมีขันธ์ที่กำลังครองตัวอยู่เป็นต้น เกิดขโมยแตกสลายไป ในขณะที่จิตกำลังพักอยู่ในนิโรธธรรม คือความดับสมมุติทั้งหลายก็คงไม่มีทางทราบได้ จิตคงเป็นสภาพนั้นไปเลย
นี่เป็นเพียงพูดตามความเป็นของจิตในเวลาเข้าพักระงับดับสมมุติชั่วคราว คงไม่พักตลอดไปเป็นปี ๆ ดังที่ว่านั้น เช่นเดียวกับคนนอนหลับสนิทย่อมหมดการรับทราบในขันธ์ แม้จะหลับไปกี่วันก็คงเป็นทำนองคนนอนหลับอยู่นั่นเอง นอกจากเวลาตื่นนอนขึ้นมาแล้วถึงจะรับทราบความสุขทุกข์ไปตามหน้าที่ที่เคยรับ
แต่การเข้าพักสงบจิต จะเป็นพักสงบธรรมดาหรือพักในนิโรธสมาบัติ ก็เป็นสมมุติอยู่โดยดี เป็นแต่ผู้เข้าพักเป็นผู้พ้นจากสมมุติแล้วเท่านั้น กิริยาแห่งสมมุติทั้งปวงจึงไม่สามารถทำวิสุทธิจิตนั้นให้กำเริบเป็นอื่นได้ คงเป็นวิมุตติจิตอยู่ตามเดิมในฐานะเป็น อกาลิกจิต คือจิตที่พ้นจากกาลสถานที่เป็นต้นไปแล้ว เป็นจิตที่หมดความคาดหมายด้นเดาใด ๆ ทั้งสิ้น จึงไม่ควรคาดหมายด้นเดาให้เสียเวลาและลำบากเปล่า
ขณะจิตที่พักตัวอยู่ในความสงบลบสมมุติทั้งมวลแล้ว ไม่รับธุระหน้าที่ใด ๆ ฉะนั้นสิ่งที่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องให้รู้เห็นจึงระงับดับสูญไปหมดเวลานั้น ต่อเมื่อถอนออกจากสมาธิสมาบัติออกมาอยู่ขั้นอุปจารสมาธิ หรือเป็นวิสุทธิจิตธรรมดาแล้ว ถ้ามีเหตุควรรู้ จิตควรรู้และรับทำธุระไปตามหน้าที่และกำลังของตนต่อไปตามกาลอันควร ท่านว่าจิตท่านเปิดเผยต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ ทั้งอยู่ในอุปจารสมาธิและอยู่ปกติธรรมดา ต่างกันเพียงลึกตื้นหยาบละเอียดหรือกว้างแคบเท่านั้น ถ้าต้องการความละเอียดและกว้างขวางต้องเข้าอุปจารสมาธิพิจารณา
เรื่องเกี่ยวกับตาพิเศษ หูพิเศษก็เช่นกัน ต้องเข้าอุปจารสมาธิสงบอารมณ์น้อย ๆ แล้วคอยรับทราบ จะทราบทางรูปคนเสียงคน หรือรูปสัตว์เสียงสัตว์ หรือมากไปกว่านั้น ตามแต่ความประสงค์จะทราบก็ทราบได้ เหมือนเห็นด้วยตาเนื้อ ฟังด้วยหูหนัง เรื่องทั้งนี้ท่านเคยเล่าให้ฟังเวลาท่านไปพักอยู่กับพวกชาวเขา ซึ่งไม่เคยเห็นพระสงฆ์เป็นส่วนมาก นอกจากผู้มีโอกาสได้ลงมาเมืองหรือหมู่บ้านที่มีพระสงฆ์ถึงจะมีโอกาสได้เห็นบ้าง
.......................................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ ๑ โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี "ตัวอย่างนิมิตที่เคยปรากฏในจิตตภาวนา" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-06.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี