ท่าน(พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) พักจำพรรษาที่วัดโนนนิเวศน์ จังหวัดอุดรธานี เป็นเวลา ๒ พรรษา นับแต่จากจังหวัดเชียงใหม่มา พอออกพรรษาปีที่สองแล้ว คณะศรัทธาทางจังหวัดสกลนคร มีคุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ เป็นต้น ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของท่าน พร้อมกันมาอาราธนานิมนต์ท่านให้ไปโปรดทางจังหวัดสกลนคร ซึ่งท่านเคยอยู่มาก่อน ท่านยินดีรับอาราธนา
คณะศรัทธาทั้งหลายต่างมีความยินดีพร้อมกันเอารถมารับท่านไปที่จังหวัดสกลนคร ในปลายปีพ.ศ. ๒๔๘๔ ท่านไปพักวัดสุทธาวาส สกลนคร ขณะที่ท่านพักอยู่มีประชาชนพระเณรพากันมากราบเยี่ยมและฟังโอวาทท่านมิได้ขาด ท่านพักวัดสุทธาวาสครั้งนั้นมีผู้มาขอถ่ายภาพท่านไว้กราบไหว้บูชา
ท่านอนุญาตให้ถ่ายภาพท่านคราวมาพักนครราชสีมาครั้งหนึ่ง คราวมาพักที่สกลนครครั้งหนึ่ง ที่บ้านฝั่งแดง อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม คราวกลับจากงานฌาปนกิจศพท่านพระอาจารย์เสาร์ครั้งหนึ่ง ที่ท่านผู้เคารพเลื่อมใสในท่านได้รับแจกไว้สักการบูชาทุกวันนี้ ก็เนื่องมาจากที่ท่านอนุญาตให้ถ่ายสามวาระนั่นแล ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีอะไรปรากฏเป็นพยานแห่งความเลื่อมใสในทางรูปกายท่านบ้างเลย เพราะปกติท่านไม่ชอบให้ถ่ายอย่างง่าย ๆ กว่าจะอนุญาตให้ใครแต่ละครั้ง ผู้นั้นต้องรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย ต้องนั่งถอยเข้าถอยออก และเปลี่ยนท่าเปลี่ยนทีอยู่หลายครั้ง จนเหงื่อแตกโชกไปทั้งตัวโดยไม่รู้สึก เพราะเคยทราบมาแล้วว่า ท่านไม่ค่อยอนุญาตให้ใครถ่ายเลย ดีไม่ดีถ้าเข้าไม่สบโอกาสอาจโดนดุก็ได้ จึงต้องกลัวกันทุกรายไป
ท่านพักวัดสุทธาวาสพอควรแล้ว ก็ออกเดินทางไปพักที่สำนักป่าบ้านนามน ซึ่งเป็นที่สงัดวิเวกดีทั้งกลางวันกลางคืน เหมาะกับอัธยาศัยท่านที่ชอบเช่นนั้นมาประจำนิสัย พระเณรที่ไปอาศัยอยู่กับท่านเห็นแล้วน่าเลื่อมใสอย่างจับใจ มีแต่องค์พูดน้อยแต่ชอบต่อยมาก ๆ กันทั้งนั้น คือท่านไม่ชอบพูดคุยกัน ต่างองค์ประกอบความเพียรตลอดเวลาในที่ของตน ๆ อยู่ในกระต๊อบเป็นหลัง ๆ บ้าง อยู่ในที่จงกรมในป่าริมที่พักบ้าง ถึงเวลาบ่าย ๔ โมงเย็นเวลาปัดกวาดลานวัด ถึงจะเห็นท่านเดินออกมาจากที่ต่าง ๆ แล้วปัดกวาดลานวัดโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็พากันขนน้ำขึ้นใส่ตุ่มล้างเท้า ตุ่มล้างบาตร และสรงน้ำอย่างสงบเสงี่ยมงามตา ต่างองค์ต่างมีท่าอันสำรวม มีสติปัญญาพิจารณาธรรมไปกับกิจวัตรที่ทำ มิได้เลินเล่อเผลอตัวคะนองปากพูดไปต่าง ๆ
พอเสร็จกิจวัตรแล้วต่างองค์ต่างปลีกตัวหาที่บำเพ็ญเพียรในที่และท่าต่าง ๆ ประหนึ่งไม่มีพระอยู่ในสำนักเลยฉะนั้น เพราะไม่มองเห็นพระยืนพูดนั่งคุยกันในที่ต่าง ๆ เลย ถ้าก้าวเข้าไปในป่าริมสำนักจะเห็นแต่ท่านเดินจงกรมไปมาอยู่บ้าง นั่งสมาธิภาวนาอยู่บ้าง นั่งทำความสงบอยู่ในกระต๊อบเล็ก ๆ บ้าง อย่างนั้นเป็นประจำทุกวันเวลา นอกจากเวลาประชุม บิณฑบาตและเวลามีกิจจำเป็นอย่างอื่นหรือเวลาฉันจังหันเท่านั้น จึงจะเห็นท่านอยู่รวมกัน แม้ขณะบิณฑบาตก็ต่างองค์ต่างสำรวมระวังตั้งสติปัญญาใกล้ชิดติดแนบอยู่กับความเพียรไปตามสายทาง มิได้ไปแบบคนไม่มีสติอยู่กับตัว ตาส่งไปในสิ่งโน้น ปากพูดพล่ามกับคนนี้ อะไรเช่นนั้น ในอิริยาบถและความเคลื่อนไหวไปมาของพระท่านเป็นที่เย็นตาเย็นใจน่าเคารพเลื่อมใส
ก่อนฉันต่างพิจารณาอาหารปัจจัยที่รวมอยู่ในบาตรด้วยอุบายที่เห็นภัย ไม่ให้ติดใจในอาหาร ไม่แสดงอาการเพลิดเพลินในอาหารชนิดต่าง ๆ ขณะฉันก็ทำความรู้สึกแบบคนมีสติอยู่กับตัวและฉันด้วยท่าสำรวม ไม่พูดคุยกันในเวลาฉัน และไม่มองโน้นมองนี่ การขบเคี้ยวอาหารก็มีสติระวังไม่ให้มีเสียงดังเกินความงาม อันเป็นที่รำคาญแก่ผู้อื่นที่ฉันอยู่ด้วยกัน
หลังจากฉันเสร็จต่างเก็บสิ่งของบริขารและปัดกวาดเช็ดถูที่ฉันให้สะอาด แล้วล้างบาตรเช็ดบาตรให้แห้ง ผึ่งแดดครู่หนึ่ง แล้วเก็บไว้ในที่ควร หลังจากนั้นต่างเข้าหาที่วิเวกเพื่อความเพียร คือการฝึกอบรมใจตามแต่เห็นสมควรจะปฏิบัติต่อใจอย่างไร หนักบ้างเบาบ้าง โดยมิได้คำนึงถึงกับเวล่ำเวลาว่าเช้าสายบ่ายเย็น และความเพียรว่าทำมากไปหรือน้อยไป จุดที่หมายอย่างน้อยก็หวังให้จิตอยู่ในคำบริกรรมภาวนาที่นำมาบังคับหรือกำกับให้เป็นอารมณ์ที่พึ่งพิง เพื่อความสงบเย็นใจหนึ่ง เพื่อบังคับใจให้อยู่ในเหตุผลที่ปัญญาชี้แจงหรืออบรมในกรณีนั้น ๆ หนึ่ง เพื่อภูมิจิตภูมิธรรมขั้นละเอียดขึ้นไปโดยลำดับจนถึงจุดที่หมายหนึ่ง องค์ใดอยู่ในภูมิใดก็พยายามอบรมจิตของตนให้ดำเนินไปตามภูมินั้นไม่ลดละความเพียร
คำว่าสติย่อมถือเป็นธรรมสำคัญของความเพียรทุก ๆ ประโยค และคำว่าปัญญาก็ย่อมถือเป็นสำคัญในเวลาที่ควรใช้ตามกาลของตน เพราะปัญญาเป็นธรรมจำเป็นไปตามภูมิของธรรม ส่วนสติเป็นธรรมจำเป็นตลอดไปในอิริยาบถต่างๆ กาลใดที่ขาดสติ กาลนั้นเรียกว่าขาดความเพียร แม้กำลังเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่ก็สักแต่ว่าเท่านั้น แต่มิได้เรียกว่าเป็นความเพียรชอบ
ดังนั้นท่านจึงสอนเน้นลงในความมีสติมากกว่าธรรมอื่น ๆ เพราะสติเป็นรากฐานสำคัญของความเพียรทุกประเภทและทุกประโยคที่ทำ จนกลายเป็นมหาสติขึ้นมาและผลิตปัญญาให้เป็นไปตาม ๆ กัน ภูมิต้นเพื่อความสงบต้องใช้สติให้มาก ภูมิต่อไปสติกับปัญญาควรเป็นธรรมควบคู่กันไปตลอดสาย
ท่านอาจารย์มั่นท่านสอนพระให้เด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก ใครไม่ตั้งใจจริงจังอยู่กับท่านไม่ค่อยได้ ราว ๖-๗ คืนมีการประชุมธรรมครั้งหนึ่ง คืนนอกนั้นท่านเปิดโอกาสให้พระเณรเร่งความเพียร ผู้ใดมีข้อข้องใจไปเรียนถามท่านได้โดยไม่รอจนถึงวันประชุม ขณะอยู่กับท่านบรรยากาศรู้สึกอบอวลไปด้วยอรรถด้วยธรรม ประหนึ่งมรรคผลนิพพานราวกับอยู่แค่เอื้อมมือ เพราะความอบอุ่นและความมุ่งมั่นมีกำลังกล้า ต่างองค์ต่างเป็นเครื่องพยุงจูงใจกันในทางความเพียร ตลอดมรรยาทที่แสดงออก ราวกับต่างองค์ต่างเอื้อมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานด้วยกัน จึงต่างองค์ต่างมีความขยันหมั่นเพียรมาก กลางวันกับกลางคืนเหมือนเป็นราตรีเดียวในการประกอบความเพียรของพระทั้งหลาย ถ้าเดือนมืดก็มองเห็นไฟโคมที่จุดด้วยเทียนไขสว่างไสวอยู่ทั่วบริเวณ ถ้าเดือนหงายก็ยังพอสังเกตได้ในการประกอบความเพียรของท่าน ซึ่งต่างองค์ต่างเร่งไม่ค่อยหลับนอนกัน
เฉพาะองค์ท่าน (พระอาจารย์มั่น) สวดมนต์ภาวนาเก่งไม่แพ้ใครเลย สวดมนต์เป็นชั่วโมง ๆ ถึงจะหยุด และสวดเป็นประจำทุกคืนมิได้ขาด สูตรยาว ๆ เช่น ธรรมจักรและมหาสมัย เป็นต้น ท่านสวดเป็นประจำ นอกจากนั้นเวลามีโอกาสท่านยังแปลให้เราฟังอีกด้วย แต่การแปลสูตรต่าง ๆ ท่านแปลอิงภาคปฏิบัติโดยมาก คือแปลเอาใจความเลยทีเดียว ไม่ค่อยเป็นไปตามวิภัติ ปัจจัย ธาตุ อายตนนิบาต เพื่อรักษาศัพท์แสงเหมือนพวกเราแปลกัน แต่กลับได้ความชัดและเห็นจริงตามท่านอย่างหาที่ค้านไม่ได้เลย จึงเกิดอัศจรรย์ใจอย่างลึก ๆ ว่าการเรียนศัพท์เรียนแปล ท่านไม่ค่อยได้เรียนมากมายอะไรนัก แต่เวลาแปลทำไมท่านแปลเก่งกว่ามหาเปรียญเสียอีก พอยกศัพท์ปุ๊บก็แปลปั๊บในขณะนั้น อย่างคล่องแคล่วว่องไวแทบฟังไม่ทัน
เช่น ท่านยกศัพท์ธรรมจักรหรือมหาสมัยสูตรขึ้นแปลเป็นบางตอน ที่สัมผัสกับธรรมท่านในเวลาเทศน์นั้น ๆ ท่านแปลอย่างรวดเร็วทันใจราวกับได้เปรียญ ๑๐ ประโยคฉะนั้น ที่ไม่อยากว่า ๙ ประโยคตามที่นิยมกันก็เพราะเคยได้ฟังท่านที่สอบได้เปรียญ ๙ ประโยคแปลมาบ้างแล้ว เวลาแปลยังอึกอัก ๆ และแปลเชื่องช้ามาก กว่าจะได้แต่ละศัพท์ละแสงรู้สึกกินเวลานาน นอกจากนั้น ยังไม่แน่ใจในคำแปลของตนอีกด้วยก็มี ส่วนท่านทั้งแปลก็รวดเร็ว ทั้งอาจหาญต่อความจริงที่แปลออกมา ทั้งเคยได้เห็นผลจากความหมายแห่งธรรมนั้น ๆ มาแล้วอย่างประจักษ์ใจ จึงไม่มีความสะทกสะท้านในการแปล
แม้คาถาที่ผุดขึ้นจากใจท่านเป็นคำบาลีก็ยังมีแปลกจากบาลีอยู่บ้างไม่ตรงกันทีเดียว เช่น วาตา รุกฺขา น ปพฺพโต เป็นต้น ท่านแปลว่า ลมพัดต้นไม้ทั้งหลายให้แหลกวิจุณไป แต่ไม่สามารถพัดภูเขาหินให้หวั่นไหวได้ดังนี้ รู้สึกจะเป็นเชิงอรรถธรรมที่ผุดขึ้นทั้งความหมายที่นำออกมาแปลให้เราฟัง การกล่าวเกี่ยวกับเปรียญประโยค ๙ ประโยค ๑๐ นั้น กล่าวไปตามภาษาป่า ๆ ตามนิสัยอย่างนั้นเอง กรุณาให้อภัยอย่าได้ถือสาผู้เขียนซึ่งเป็นพระป่า เหมือนวานรที่เคยชินกับป่ามาแต่วันเกิด แม้จะจับมาเลี้ยงอยู่กับมนุษย์จนเชื่องชินก็คงเป็นนิสัยของตัวอยู่นั้นแล ไม่อาจเปลี่ยนแปลงตัวเองและมรรยาทให้เป็นเหมือนมนุษย์ได้ แม้การแปลของท่านกับของพวกเราที่ผู้เขียนบังอาจนำมาลงก็กรุณาให้อภัยด้วย ซึ่งอาจจะเห็นว่าสูงไปหรือต่ำไปที่ไม่ควรอาจเอื้อมนำมาลง
ท่านพักบ้านนามนพอควรแล้วก็มาพักและจำพรรษาที่บ้านโคก ซึ่งห่างจากบ้านนามนราว ๒ กิโลเมตร ที่บ้านนี้มีความสงัดพอสมควร แต่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ถึงกิโลเมตร เพราะหาทำเลยากบ้าง ทั้งสองแห่งนี้มีพระเณรอยู่กับท่านไม่มากนักราว ๑๑–๑๒ องค์เท่านั้น พอดีกับเสนาสนะ ตอนที่ท่านมาพักบ้านโคกผู้เขียนก็ไปถึงท่านพอดี ท่านได้เมตตารับไว้แบบขอนซุงทั้งท่อน ไม่เป็นท่าเป็นทางอะไรเลย อยู่กับท่านแบบทัพพีอยู่กับแกงเราดี ๆ นี่เอง คิดแล้วน่าอับอายขายหน้าที่พระซุงทั้งท่อนไปอยู่กับท่านผู้ฉลาดปราดเปรื่องเลื่องลือระบือทั่วทั้งจักรวาล เบื้องบน เบื้องล่าง
แต่พอเบาใจหน่อยในการเขียนประวัติท่าน ไม่ตีบตันอั้นตู้นักเหมือนที่แล้ว ๆ มา ซึ่งไปเที่ยวจดและอัดเทปเอาจากพระอาจารย์ทั้งหลายในที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่เคยอยู่กับท่านมาในยุคนั้น ๆ นับแต่เที่ยวจดบันทึกอยู่กว่าจะได้มาลงเป็นอักษรให้ท่านได้อ่าน ก็เสียเวลาไปเป็นปี ๆ แม้เช่นนั้นยังต้องมาเรียงตามลำดับกาลสถานที่เท่าที่จดจำได้ กว่าจะเข้ารูปรอยพออ่านได้ความก็แย่ไปเหมือนกัน
.....................................
คัดลอกจากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ตอนที่ 9 โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี "จำพรรษาที่วัดโนนนิเวศน์ จังหวัดอุดรธานี" ใน http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-12-09.htm
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี