ในปัจจุบัน ประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความชำนาญเฉพาะด้านในระดับอาชีวศึกษาจำนวนมาก ทำให้สถาบันการศึกษาต้องเร่งผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นพื้นที่หลัก โดยโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง นับเป็นโครงการที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรสายอาชีพได้
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เดินหน้าทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง รุ่นที่ 2 เพื่อสานต่อผลิตบุคลากรสายอาชีพ รองรับอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 21 และรุ่นที่ 2 นี้ ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมเด็กพิการเป็นปีแรก ซึ่งจะช่วยเติมโอกาสให้เด็กๆ ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และที่มีความต้องการพิเศษได้เรียนต่อสายอาชีพ
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ กสศ.จัดกิจกรรม “ปลุกพลัง สร้างโอกาสแห่งอนาคต กับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปีการศึกษา 2563” โดยมีนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่นที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมการถ่ายทอดสดกิจกรรมไปอีก 23 สถาบันการศึกษาในพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ ที่อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี
สำหรับทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงรุ่น 2 ถือเป็นการสร้างโอกาสให้น้องๆ ได้เรียนต่อสายอาชีวศึกษารวมทั้งสิ้นกว่า 4,700 คน จาก 47 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นรุ่นที่ 1 จำนวน 2,000 คน และรุ่นที่ 2 จำนวน 2,700 คน มีสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ 66 แห่ง สำหรับปีนี้ กสศ. ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมถึงเด็กที่มีความขาดแคลนทุนทรัพย์และมีความต้องการพิเศษ (พิการ) โดยทดลองเปิดทุนใหม่เพื่อพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมระบบในการดูแลที่เหมาะสมร่วมกับวิทยาลัย
นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมความร่วมมือนวัตกรรมและทุนการศึกษา กสศ. กล่าวว่า ในรุ่นที่ 1 เด็กที่ได้รับทุนส่วนใหญ่มาจากครอบครัวยากจนเป็นหลัก แต่ กสศ. อยากให้ทุนกับผู้ด้อยโอกาสด้วย ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง รุ่นที่ 2 จึงขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หรือกลุ่มพิการด้วย โดยทดลองเปิดทุนใหม่ เพื่อที่จะหาหลักสูตร ระบบในการดูแลที่เหมาะสมร่วมกับวิทยาลัยนำร่องก่อน 5 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ เราพบว่า นักศึกษาทุนที่เราสร้างโอกาสมีศักยภาพ แต่มีความเปราะบางในชีวิตจากพื้นฐานชีวิตที่มีอยู่ เด็กเกือบร้อยละ 50 พ่อแม่แยกทางกัน ครอบครัวแตกแยก อันนี้เป็นโจทย์ที่สำคัญ ต้องมีการเสริมประสบการณ์นอกห้องเรียนด้วย ไม่อยากเน้นแค่การเรียนในห้องเรียน เพื่อให้เด็กมีความสามารถรอบด้านและยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงได้
“ปีนี้ กสศ.ได้เปิดทุนใหม่ สร้างโอกาสให้ทุนกับเด็กที่ด้อยโอกาส คือ ผู้เรียนที่มีความพิการ ซึ่งเราจะเน้นวิจัยระดับปฏิบัติการเพื่อหาโมเดล เพิ่มทักษะพื้นฐานชีวิต ดูแลความเปราะบางของเขาด้วย และการศึกษาสายอาชีพน่าจะเป็นคำตอบให้น้องๆ กลุ่มนี้ได้ เชื่อว่าเด็กทุนทั้งหมด 4,700 คน จะเป็นตัวแทน หรือโมเดล ที่ทำให้เห็นได้ว่า การศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิตเลื่อนชั้นทางสังคม ข้ามรุ่นได้ ถ้าเราให้โอกาสทางการศึกษา เขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้ และไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง แต่เป็นครอบครัวเขาด้วย เพราะจากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เราพบว่าเด็ก 90% ของครอบครัว จะเป็นคนแรกที่ได้เรียนเกิน ม.6 ดังนั้น กสศ.จึงอยากส่งเด็กให้ถึงฝั่งทุกคน อยากให้เขามีงานทำ อนาคตเขาจะเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้”นางสาวธันว์ธิดา กล่าว
ผศ.ดร.ชนิศา ตันติเฉลิม อาจารย์ประจำภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง สำหรับผู้เรียนที่มีความพิการ กล่าวว่า โครงการ“เปลี่ยนความพิเศษให้เป็นพลัง” เป็นโครงการย่อยออกมาจากโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง เป็นโครงการส่งเสริมให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และมีความต้องการพิเศษ (พิการ) ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เน้นสร้างโอกาสให้ผู้พิการ ปัจจุบันมีสถาบันอาชีวศึกษาเข้าร่วมและนำร่อง 5 วิทยาลัย อาทิ วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล จ.นครปฐม วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กรุงเทพฯ วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา เป็นต้น โดยสถาบันการศึกษาและ กสศ.จะร่วมกันออกแบบการเรียนการสอน พร้อมเข้าไปเสริมการทำงานของวิทยาลัยเพื่อวัดความรู้เด็กให้พร้อมสู่การมีงานทำมีระบบดูแลช่วยเหลือติดตามหลังเรียนจบการศึกษา
ผศ.ดร.ชนิศากล่าวว่า หลังเก็บรวบรวมข้อมูลเด็กพิเศษมากว่า 6 เดือน เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เช่น เด็กที่ได้รับทุนต้องต่อสู้กับอุปสรรคเป็นสองเท่าเพื่อเอาชนะข้อจำกัดของตนเองนั้น กลับมีแววตาที่แสดงออกถึงความฝันที่อยากจะเป็นมากขึ้น มีความหวังมีกำลังใจไม่ท้อแท้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเด็กพิเศษต้องแก้ตั้งแต่เกิด ซึ่งเด็กจะรู้จักตัวเองและฉายแววความโดดเด่นออกมา
“อยากขอบคุณ กสศ. ที่ให้โอกาสเด็กพิเศษกลุ่มนี้ และเราตั้งเป้าหมายการทำงานสูงสุดไว้คือได้เห็นสังคมที่อยู่ร่วมกันได้จริง ถ้ามีสังคมเช่นนี้จะตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำได้ อยากให้สังคมเปิดใจยอมรับความแตกต่าง อย่ารีบตัดสินคนกลุ่มนี้จากภายนอก ขอให้มองศักยภาพจากการทำงาน อะไรที่เขาขาดไปสังคมควรจะช่วยเสริมและเติมให้” ผศ.ดร.ชนิศา กล่าว
นายศุภวุฒิ พุฒขวัญ นักวิชาการศึกษา วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล กล่าวว่า วิทยาลัยมีการจัดการเรียนการสอนที่มีแนวทางในการดูแลเด็กพิเศษ คือ บกพร่องทางการได้ยิน บกพร่องทางด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ออทิสติก เรียนรู้ช้า เด็กของเรา 70% บกพร่องจากการฟัง ส่วน 20% จากการอ่าน และ10% จากการปฏิบัติ โดยการสอนจะเน้นการเรียนรวมทั้งเด็กปกติ เด็กพิเศษเรียนร่วมกัน ทำอย่างไรก็ได้ให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ใช่ภาระ เรามีล่ามภาษามือ มีครูผู้สอน มีหอพักให้อยู่มีสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่กับเด็กตลอด 24 ชม. เพราะต้องการให้เขาคุ้นชินกับสภาพแวดล้อม คุ้นชินกับคนทั่วไปเพื่อไปใช้ในการทำงานประกอบอาชีพ
อีกมุมหนึ่งของเด็กพิการ คือ เขาไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ 100% ดังนั้น การดึงเด็กพิเศษเข้ามาเรียนสายอาชีวศึกษา จะตอบโจทย์เรื่องศักยภาพ ฝีมือการทำงาน ถ้าเราสอนให้เด็กนึกคิดปฏิบัติ เขาจะมีสมาธิ จดจ่อ ไม่วอกแวกในการทำงาน ตรงต่อเวลา และจะเข้าสู่สถานประกอบการเป็นแรงงานสายอาชีพได้ เพราะจากการส่งเด็กเข้าฝึกงานในบริษัทใหญ่ๆ ชั้นนำ ได้รับการตอบรับและชื่นชมเด็กกลุ่มนี้อย่างดี
นายศุภวุฒิระบุว่า ต้องขอบคุณ กสศ.ที่เห็นความสำคัญของเด็กพิเศษ เขาต้องใช้ทุนทรัพย์มากกว่าคนปกติ ทั้งการดูแล การรักษา พอมาอยู่ในจุดนี้ ที่มีการเปิดกว้างให้ทุนสายอาชีพ ทำให้ผู้ปกครองลดภาระหมดห่วง
“พอมีทุนเข้ามามันเติมเต็มชีวิตเขา ทำให้เขาตั้งใจเรียนจนจบ ทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องไปพึ่งพาพ่อแม่ และเขามีเวลาพิสูจน์ตัวเองให้ยืนในสังคมได้ แล้วยิ่งเราไม่ไปกดดัน แต่ต้องทำให้เขารู้สึกว่าเราสนับสนุนส่งเสริมช่วยในเรื่องการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ และการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กปกติคนอื่นๆในวันนี้ เขารู้สึกว่าเขาไม่แบ่งแยก และทุนจาก กสศ.นี้ช่วยให้เขารู้สึกว่าตัวเขามีคุณค่า ไม่โดนทอดทิ้งในสังคม มันไม่ใช่แค่คำว่าให้โอกาส แต่อีกมุมของเด็กพิการคือ เขาต้องการให้คนมองเขาด้วยสายตาที่ปกติ สายตาที่อบอุ่นจากสังคม” นายศุภวุฒิ กล่าวสรุป
“การให้”เป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะ “การให้โอกาส” ซึ่งคนที่ได้รับก็จะได้นำไปพัฒนาชีวิตให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไป ส่วนคนที่เป็นผู้ให้ อย่างน้อย เขาก็มีความสุขตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ให้ไปแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี