มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม (มสส.) จัดเวทีเผยแพร่ข้อมูลรายงานสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงพิการ ภายใต้โครงการ “การพัฒนากลไกเพื่อจัดบริการที่เป็นมิตรแก่เด็ก ผู้หญิง คนพิการ และผู้ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ” เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของ สสส. ระยะ 5 ปี (2566 - 2570) ภายใต้ห่วงโซ่ผลลัพธ์ของการสร้างเสริมสุขภาพ มีด้วยกันหลากหลายประเด็น อาทิ การศึกษาและผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ, สนับสนุนให้เกิดการทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับเครือข่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนและอื่นๆ, สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพคนพิการ, รณรงค์สื่อสารสังคม เพื่อปรับเปลี่ยนเจตคติของคนพิการ ครอบครัว และสังคม ให้เห็นความสำคัญของการพัฒนาสมรรถนะและคุณภาพชีวิตคนพิการในด้านต่างๆ เป็นต้น
“สสส. ร่วมสนับสนุนและทำงานประสานร่วมกันกับทางกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และภาคีที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว โดยมีจุดเน้นในการทำงานในประเด็น การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ, การส่งเสริมการจ้างงานและประกอบอาชีพของคนพิการ, การสร้างสมรรถนะการเรียนรู้ของคนพิการ และการพัฒนาศูนย์บริการคนพิการทั่วไปให้มีสมรรถนะการบริหารจัดการอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายสอดรับกับ พก. คือ คนพิการมีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต อาชีพ รายได้/เงินออม การศึกษา/การเรียนรู้ สังคม และลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ” นางภรณี ระบุ
ขณะที่ รศ.ดร.บุญเสริม หุตะแพทย์ นำเสนอ (ร่าง) รายงานผลการสำรวจสถานการณ์คนพิการ
ที่ถูกกระทำความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและความรุนแรงในครอบครัว ประจำปี (นำร่อง) ปี 2566-2567 ระบุว่า ผลการสำรวจ คนพิการส่วนใหญ่ หรือจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง และเป็นผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) โดยพิการทางการเคลื่อนไหว/ทางร่างกาย และมีคนพิการจำนวนหนึ่งที่พิการซ้ำซ้อน จำนวนมากที่สุดเป็นโสด เกือบทั้งหมดมีลูกหลาน และเป็นมารดา/บิดา คอยดูแล โดยยังมีคนในชุมชนที่ช่วยเหลือคนพิการ ได้แก่ อสม./อพมก./อสส. ผู้ดูแลผู้สูงอายุ คนพิการเกือบทั้งหมดไม่ได้ประกอบอาชีพ จำนวนมากที่สุดมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย และมีหนี้สิน ส่วนใหญ่มีรายได้จากการทำงานและเงินสวัสดิการจากเบี้ยคนพิการ เกือบทั้งหมดมีบัตรคนพิการ และมีจำนวนหนึ่งยังอยู่ระหว่างการขอทำบัตร
คนพิการเกือบทั้งหมดรู้สึกว่าตนเองมีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งคิดว่าพื้นที่ในบ้าน ที่คนพิการอาศัยอยู่กับคนในครอบครัว และบ้านญาติของคนพิการไม่ปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในชุมชนมีความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังเห็นว่าพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกกระทำรุนแรง มากที่สุดเป็นพื้นที่นอกบ้านโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีคนพิการไปใช้บริการ ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างราว 1 ใน 3 มีความเข้าใจลักษณะของความรุนแรงฯ ได้อย่างถูกต้อง
รศ.ดร.บุญเสริม ชี้ว่า คนพิการเกือบทั้งหมดระบุ ว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยถูกกระทำรุนแรง ในทุกลักษณะ โดยมีเพียง 1 ใน 6 หรือร้อยละ 17.2 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เท่านั้น ที่ระบุว่าถูกกระทำรุนแรงลักษณะใดลักษณะหนึ่ง อย่างน้อย 1 ลักษณะ และในจำนวนนี้มีคนพิการคนหนึ่งที่ถูกกระทำรุนแรงมากที่สุดถึง 7 ลักษณะ โดยข้อมูลแสดงให้เห็นว่า คนพิการจำนวนมากที่สุด ถูกกระทำรุนแรงในลักษณะของการบ่น ด่า แสดงความรังเกียจ สาปแช่ง และมีคนพิการอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกกระทำรุนแรงจากการที่คนในครอบครัวไม่จัดอาหารให้ หรือจัดอาหารไม่เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ
รศ.ดร.บุญเสริม ระบุว่า ยังมีคนพิการในจำนวนที่เท่ากันที่ถูกคนในครอบครัวกระทำรุนแรงใน 4 ลักษณะ คือ 1.ใช้กำลังทำร้ายร่างกาย เช่น ตบ เตะ ต่อย หยิก ตี จับกดน้ำ ฯลฯ 2.ไม่แสดงความรัก ความห่วงใย เมินเฉย ปล่อยปละละเลย 3.ทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง หรือปล่อยให้อยู่กับคนอื่นเมื่อเจ็บป่วย และ 4.ไม่พาไปหาหมอ ไม่รักษา
ทั้งนี้ มีคนพิการที่ถูกกระทำความรุนแรงทางวาจาหรืออารมณ์/จิตใจ มากที่สุดถึง 8 ลักษณะ ขณะที่มีคนพิการระบุว่าถูกกระทำความรุนแรงด้านเพศ น้อยที่สุด (จำนวน 2 ราย) ใน 1 ลักษณะคือ ถูกคนรู้จัก/เพื่อน/ครู ซึ่งเป็นคนอยู่นอกครอบครัว สัมผัส ลูบคลำเนื้อตัวร่างกาย และเปลื้องผ้า และเมื่อจำแนกข้อมูลลักษณะของความรุนแรงที่คนพิการถูกกระทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยรวม มีคนพิการ จำนวน 34 คนถูกกระทำรุนแรงถึง 54 ลักษณะ
รศ.ดร.บุญเสริม กล่าวว่า สิ่งที่ค้นพบ คือ เราได้เห็นความรุนแรงที่พวกเขาต้องเผชิญ เห็นจำนวน และข้อมูล มี 2 ราย ใน 200 คน ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ แต่สถานการณ์ความเป็นจริง อาจจะมีมากกว่านั้น แต่ซ่อนอยู่ ซึ่งข้อสังเกตคือ หากคนพิการบอกว่าไม่รู้ ไม่รู้สึกว่าถูกกระทำ นี่คือความรุนแรง ฉะนั้นจึงต้องมีการให้ความรู้เรื่องความรุนแรงกับคนพิการ และคนที่อยู่รอบข้างเขาด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ละเลยไม่ได้ ในผลงานวิจัย มี 34 คน คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ ถูกกระทำความรุนแรงจำนวน 54 ลักษณะ ซึ่งเป็นการถูกกระทำหลายอย่าง ที่น่าตกใจคือมีข้อมูลพบด้วยว่า มีคนหนึ่งถูกกระทำถึง 7 ลักษณะ นี้คือความเสี่ยง ไม่ปลอดภัย ถ้า PA(ผู้ช่วยคนพิการ) เขาสแกนได้เร็วถึงความผิดปกติ เห็นความรุนแรง หรือคนในชุมชน อบต. สังเกตเห็นจะช่วยได้ทัน ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย
รศ.ดร.บุญเสริม ระบุทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญ คือ คนในชุมชน ต้องช่วยกันปกป้อง ดูแลคนพิการ
ที่ผ่านมาก็ยังถือว่าน้อยอยู่ คนในชุมชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ส่วนในเรื่องสวัสดิการ หน่วยงานรัฐก็ต้องพิจารณาความเหมาะสม ขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญมากคือเรื่องของทัศนคติต่อปัญหาความรุนแรง สังคม กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งความจริงคนพิการเผชิญความรุนแรงรายวัน สังคม ชุมชน ต้องอย่ามองว่าไม่เป็นปัญหา
ขณะที่ นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ระบุว่า หัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ที่ กรมฯ ทำงานขับเคลื่อน คือ การเสริมพลังคนพิการ ต้องมองว่า คนพิการไม่ใช่ภาระ แต่มีพลัง ต้องส่งเสริมไม่ใช่แค่การฟื้นฟูสมรรถนะ โดยในกระบวนการทำงานหนุนเสริมของ กรมฯ ได้แบ่งคนพิการออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 แข็งแรงเป็นผู้นำ กลุ่มนี้จะเป็นเสริมพลังไปสู่การเป็นต้นแบบ ส่งเสริมศักยภาพ กลุ่มที่ 2 พัฒนาได้ สามารถส่งเสริมทักษะ หรือสกิล เพิ่มเติมเต็มให้เขาได้ เพื่อสร้างอาชีพ ตามความถนัด ทักษะความสามารถ เข้าสู่ตลาดแรงงานรัฐ เอกชน และกลุ่มที่ 3 กลุ่มติดเตียง ต้องดูแล ต้องมีการคุ้มครองพิทักษ์สิทธ์ิ
“ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า คนพิการยังต้องเผชิญสถานการณ์ความรุนแรง และความรุนแรงมีแนวโน้มเกิดต่อเนื่อง ทั้งเรื่องความรุนแรงทางเพศ การถูกทอดทิ้ง ไม่เข้าใจ ความพิการ การต้องเผชิญสภาพความเป็นอยู่ในครอบครัว หรือโดนกระทำในที่ทำงาน บริษัท ซึ่งมีหลายเรื่อง ยังขาดความเข้าใจ หรือรู้สิทธิ ซึ่งโจทย์ใหญ่ของกรมฯ คือ การสร้างเครือข่าย ช่องทางการสื่อสาร การเข้าถึงช่องทางบริการของรัฐ โดยเฉพาะคนที่อยู่หน้างานโดยตรงอย่าง ครอบครัว ผู้ดูแล การทำงานต้องมียุทธวิธี กลยุทธ์ ในการช่วยเหลือ ออกแบบ ครอบครัว ผู้ช่วย ผู้ดูแล พัฒนาทักษะแต่ละมิติ มีค่าตอบแทน มีการเทรน ระยะสั้น และความเข้าใจ ในการเข้าถึงช่วยเหลือคนพิการ” อธิบดี พก.ระบุ
อธิบดี พก. กล่าวด้วยว่า สถานการณ์คนพิการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ยอดคนพิการทั่วประเทศโดยประมาณ 2,283,502 คน หัวใจสำคัญ คือ ไม่ใช่แค่ เจตคติ หรือเพียงแค่สงสาร แต่ต้องไปถึงการปรับมายเซต(Mindset) ว่า เขาไม่ใช่ภาระ แต่มีพลังที่จะต้องให้โอกาส เราต้องทำความเข้าใจ เปิดใจ เปิดโอกาส และปรับเปลี่ยนความคิดในสังคม ต้องให้โอกาสคนพิการ ในปัจจุบัน หน่วยงานรัฐ กระทรวง ที่จ้างคนพิการเกือบทุกหน่วยคือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม ซึ่งมีคนทำงานประจำอยู่ทุกกรมฯ และจ้างเกินอัตราด้วย
“ขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐอื่นๆ กระทรวงต่างๆ ทำเป็นต้นแบบ แต่ละกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ขยับพื้นที่ให้กับคนพิการ จ้างงานตามทักษะ ความถนัด แทนคุณวุฒิการศึกษา เพราะการศึกษาภาคบังคับมันยาก ระดับคุณวุฒิการศึกษา ที่ผ่านมาเรามีตัวเลขที่สำรวจ คนพิการกว่า 8 แสนคนที่ขึ้นทะเบียนรองาน มีเพียงแค่ 5 หมื่นกว่าคนที่เข้าทำงานได้ ซึ่งนี่เป็นโจทย์สำคัญ และหน่วยงานรัฐต้องเป็นหน่วยงานที่ให้โอกาส เปิดพื้นที่ หน่วยงานรัฐต้องเป็นโมเดลต้นแบบจ้างงานคนพิการตามทักษะ และความถนัด” อธิบดี พก. กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี