6 ธ.ค.63 ที่ทำการเชียงราก การประปานครหลวง ตำบลบางกะดี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม “พายเรือเพื่อแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าปทุมธานี ” พร้อมด้วย ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายรักษ์ศักดิ์ สุริยหาร รองผู้ว่าการประปานครหลวง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักศึกษา อาจารย์และประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม
โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ร่วมกับ การประปานครหลวง และจังหวัดปทุมธานี จัดงานพายเรือเพื่อเจ้าพระยาสายเก่าปทุมธานี โดยเริ่มต้นจากที่ทำการเชียงราก การประปานครหลวง เข้าไปยังคลองน้ำอ้อม คลองบางหลวงเชียงราก และคลองบ้านพร้าว สิ้นสุดที่วัดบ้านพร้าวนอก รวมระยะทาง 21 กิโลเมตร ซึ่งคลองทั้ง 3 สายที่เป็นเส้นทางพายเรือนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าซึ่งมีความคดเคี้ยวมากเนื่องจากเป็นช่วงปลายแม่น้ำ จึงมีการขุดคลองลัดขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่อร่นระยะการเดินทางของเรือสำเภาที่ใช้ในการค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างชาติต่างๆ คลองลัดที่ขุดขึ้นใหม่ได้กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน ซึ่งลดระยะทางจากเดิม 21 กิโลเมตร เหลือเพียง 5 กิโลเมตร ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็กลายเป็นคลองทั้ง 3 สายมองจากที่สูงจะเห็นเชื่อมต่อกันเป็นรูปเลข 3 อารบิก ต่อมาการประปานครหลวงเรียกรวมแนวคลองนี้ว่า “คลองเลข 3”ทั้งนี้คลองเลข 3 ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นจุดเริ่มต้นของการประปาไทยเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โดยประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการวางระบบน้ำประปาขึ้น จากการที่กรมสุขาภิบาลได้ให้กักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไว้ในคลองบางหลวงเชียงราก อาศัยจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง โดยสร้างประตูน้ำกั้นไว้เปิด-ปิดรับน้ำ สร้างโรงสูบน้ำแล้วขุดคลองประปาขนานกับคลองเปรมประชากรเพื่อส่งน้ำไปยังโรงกรองน้ำสามเสน ภายหลังโรงสูบน้ำย้ายขึ้นไปสร้างที่กลางคลองเลข 3 เป็นโรงสูบสำแลทุกวันนี้
ปัจจุบัน คลองเลข 3 มีประตูน้ำปิดที่ปากแม่น้ำทั้ง 3 จุด การเป็นคลองปิดส่งผลให้มีการสัญจรและใช้งานน้อยลง ปี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ได้มีการถมคลองไปช่วงหนึ่งเพื่อทำถนนแล้ววางแนวท่อระบายน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร 2 ท่อด้านล่างแทน ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าถูกลดความสำคัญลงไปอีก ขณะที่ส่วนที่เหลืออยู่ก็กลายสภาพเป็นคลองน้ำนิ่งทำให้มีผักตบชวาขึ้นหนาแน่น อย่างไรก็ดี ชุมชนริมสองฝั่งคลองยังคงใช้คลองเพื่อการสัญจรอยู่บ้าง อีกทั้งยังใช้งานในเชิงวัฒนธรรม เช่น การตักบาตรพระร้อยหลังวันออกพรรษาซึ่งพระสงฆ์ 100 รูปจะพายเรือมารับบาตรจากประชาชน แต่การถมคลองทำให้ชุมชนถูกตัดขาดจากกัน ชุมชนสองฝั่งคลองจึงได้เรียกร้องให้ฟื้นฟูคลองมาเกือบ 10 ปี โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อ 7 ปีที่แล้ว จากการพานักศึกษาไปดูพื้นที่เพื่อหาทางขุดคลองที่ถูกถมกลับมาใหม่ ซึ่งหลังจากนั้น มหาวิทยาลัยได้ร่วมมือกับชุมชน รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากการประปานครหลวง เสนอต่อกรมทางหลวงให้คืนชีวิตแก่แม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าปทุมธานีอีกครั้งหนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี