1.สวัสดีปีใหม่ 2564 ทุกท่านด้วยความยินดีปรีดา ว่าด้วยธรรมเนียมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็เป็นอีกครั้งที่ผมตั้งใจมาบอกเล่า “งาน” ที่ได้ลงมือทำไปในปีที่ผ่านมา (2563) เช่นเดียวกับที่เคยได้สื่อสารไปแล้วสำหรับปี 2562 ซึ่งมีความสืบเนื่องเชื่อมโยงกันในแผนงานที่มีชื่อว่า “จังหวัดโมเดล” และเป้าหมายยังคงอยู่ที่การยกระดับรายได้ของชาวบ้านเพิ่มขึ้นครัวเรือนละหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนอย่างยั่งยืน ด้วยการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาเสริมกำลัง สร้างกระบวนการ เพื่อพัฒนาผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสูง และราคาที่น่าพอใจสำหรับชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการทุกท่าน
ผมเองในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ยังคงเป็นหลักในการประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงส่วนราชการ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย รวมไปถึงเกษตรกรฐานราก ให้เข้ามาทำงานหนักร่วมกันอย่างตั้งใจ เพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ดังที่หวังเอาไว้กลายเป็นผลสำเร็จในเร็ววัน ซึ่งก็ต้องบอกว่าในบางพื้นที่อย่างสกลนคร โครงการย่อยเกี่ยวกับดินและผลไม้ก็สามารถเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ได้แล้วส่วนกระบี่ และจันทบุรี ก็เดินหน้าอย่างเต็มกำลัง ที่สำคัญ ในปีที่ผ่านมามีการเข้าร่วมรูปแบบการทำงานของ “จังหวัดโมเดล” อีกหลายพื้นที่ อาทิ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ หนองคายเชียงใหม่ สมุทรปราการ และสงขลา นี่คือความคืบหน้าของผมในหนึ่งปีที่ผ่านมา กับหลักแห่งการไม่รอ ไม่ขอ เกษตรกรต้องลุกขึ้นมาสร้างอนาคตด้วยตัวเอง ด้วยศาสตร์แห่งความรู้ความทันสมัยของเครื่องมือ และความเอาใจใส่ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่จะมาร่วมด้วยช่วยกัน “พาทำ” จนสำเร็จ
2.ในด้านของการศึกษา ผมยังคงผลักดันในเรื่อง “โรงเรียนขนาดเล็ก” ที่อยู่ห่างไกล ไม่ให้ถูกควบรวมอย่างเต็มกำลัง เพราะมองว่า ในที่ห่างไกล สถานที่ในการจัดการเรียน
การสอนและพัฒนาศักยภาพของนักเรียนควรต้องเอื้ออำนวยกับเด็กให้มากที่สุด โดยที่ไม่บกพร่องในเรื่องของคุณภาพสำหรับการเรียนรู้ด้วย รัฐบาลต้องจริงใจในการบริหารจัดการเรื่องนี้ และไม่ทำแบบขอไปที แต่ต้องทำอย่างมีความรู้ความเข้าใจและที่สำคัญต้อง “มีใจ” ให้กับการยกระดับคุณภาพทางศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียนที่ห่างไกล เพราะนี่คือเครื่องมือสำคัญอันจะยึดเหนี่ยวจิตใจของเหล่านักเรียนในถิ่นทุรกันดารให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาภายใต้ความรู้สึกอบอุ่นและผูกพันกับประเทศไทย รวมไปถึงแผ่นดินไทยผืนนี้ดังนั้น เด็กทุกคนต้องมีโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม และได้รับการเอื้ออำนวยจากภาครัฐด้วยความจริงใจ
อีกส่วนที่ผมสนใจและพยายามสื่อสารมาโดยตลอดก็คือ “กระบวนการสอนที่ได้ผล” คือ สอนแบบไหนให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งผมเน้นย้ำในเรื่องของการคิดวิเคราะห์เป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น ดังนั้น การสอนของครูจึงไม่ใช่แค่การสั่งให้นักเรียนทำตามเท่านั้น หรือปฏิบัติให้ได้คำตอบตามที่ครูกำหนดไว้เหมือนที่ผ่านมา แต่หมายถึงว่า ครูต้องทำให้นักเรียนได้คิดเอง ทำเอง และตอบในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก่อนจะมาสนทนาในคำตอบที่ได้ร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียน เพื่อ “ตกผลึก” ไปสู่การเรียนรู้ในสาระวิชาหรือประเด็นที่ได้รับการนำเสนอนั้นๆ และเมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งนำเสนอเรื่องการปรับหลักสูตรการเรียนของมหาวิทยาลัยให้ตอบสนองกับตลาดแรงงาน และความต้องการของประเทศ ด้วยการเรียกร้องอย่างเป็นรูปธรรมให้มหาวิทยาลัยยกเลิกหลักสูตรที่ไม่มีนักศึกษาเรียนหรือเรียนน้อยลง ควบคู่ไปกับการปรับวิธีการเรียนให้ยืดหยุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเรียนที่ไหน เวลาใดก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ซึ่งเป็นการปรับให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกการศึกษาในปัจจุบัน และอนาคต
3.สำหรับการทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อพัฒนาระบบในการบริหารประเทศ ผมอภิปรายเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินใน 3 เรื่องหลักคือ ระบบการจัดสรรงบประมาณ ระบบการจัดซื้อจัดจ้างและระบบการตรวจสอบซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลางและสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นี่คือการ “จัดระเบียบระบบราชการในการจัดสรรงบประมาณ” เสียใหม่ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปฏิบัติกันแบบเดิมๆ ซ้ำมาไม่รู้กี่ปี ทั้งที่ประเทศของเราต้องสูญเสียงบประมาณออกไปมหาศาล โดยที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย รวมไปถึงปัญหาของชาวบ้านมากมายก็มิได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน
ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างก็มีปัญหา ฝ่ายอนุมัตินั่งอยู่บนหอคอยกำหนดกฎกติกาขึ้นมา เพื่อทำให้ฝ่ายปฏิบัติต้องทำงานยาก เพราะถูกปิดกั้นการได้มาซึ่งเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม อาทิ การประกวดราคาเป็นหลักคิดของการจัดซื้อ ดังนั้น บริษัทที่เข้าประมูลเหล่านั้น ก็จะพยายามลดราคาเพื่อให้ชนะ ท้ายที่สุดส่วนราชการจึงได้เครื่องมืออุปกรณ์ราคาถูก แต่คุณภาพที่ต้องการกลายเป็นเรื่องรอง เป็นต้น ส่วนสตง. ก็ให้ความสำคัญไปกับการตรวจการใช้เงิน มากกว่าผลสำเร็จของงานในการใช้งบประมาณ เหล่านี้เองที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นเป็นปากเป็นเสียงแทนชาวบ้านในทุกครั้งที่หน่วยงานเหล่านี้ต้องมาตอบคำถามที่สภาฯ และดูเหมือนว่า ผมยังคงต้องทำเช่นนี้ต่อไป เพราะยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากหน่วยงานดังกล่าว
4.ผมยังคงยืนยันเช่นเคยว่า ภาพรวมการทำงานของผมนั้น ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งในพื้นที่ชนบท คือการต่อสู้เพื่อจัดการกับปัญหา 2 เรื่องอย่างแม่นยำ ได้แก่ หนึ่งความยากจน และสอง ความไม่รู้ของประชาชน ปัญหา2 เรื่องนี้เป็นบ่อเกิดของความเหลื่อมล้ำที่หมักหมมอยู่ในทุกภาคส่วนของประเทศไทยมาอย่างนมนาน จนค่อยๆ กัดเซาะความเป็นหนึ่งเดียวของพี่น้องประชาชนให้ปริแตกจนกลายเป็นความขัดแย้งดังที่ปรากฏมาตลอดช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบันที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นอย่างที่ทราบกันดี
และด้วยการประเมินส่วนตัวนั้น ผมยอมรับว่า “งานที่ทำ”ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่หวังใจเอาไว้ แต่ทิศทางที่ได้มุ่งไปแล้วนั้น ผมเชื่อว่า เรามาถูกทางอย่างแน่นอน ดังนั้น 2564 จึงเป็นปีที่ผมตั้งใจจะพยายาม “คิดนอกกรอบ” ให้มากขึ้น เพื่อค้นหา “กระบวนการใหม่ๆ อันแม่นยำ” มาทำให้ปัญหาเก่าๆลุล่วงไปได้ นอกจากนั้น สำหรับปัญหาใหม่ที่เข้ามา ผมมองว่าเป็นความท้าทายที่พวกเรา (ผมและทีมงาน) จะร่วมกันหาคำตอบของโจทย์เหล่านั้น แล้วช่วยพากันผ่านไปให้ได้เหมือนในปีที่ผ่านมาเพราะความสำเร็จจะไม่มีค่า ถ้าไม่มีใครร่วมเดินหน้าไปด้วยกันขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี