บ่อนการพนัน ได้ปรากฏมาเป็นข่าวใหญ่ และเป็นต้นเหตุแห่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนประชาชนก่นประณามทั้งเมือง สั่นสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล และสะท้านเก้าอี้นายตำรวจใหญ่ทั้งกรม จึงขอย้อนประวัติศาสตร์นำเรื่องการพนันมาเล่า ว่ารัฐบาลจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
การพนันเป็นกิจกรรมที่มีอยู่คู่กับมนุษย์มาแต่โบราณกาลนับหลายพันปี หลักฐานในประวัติศาสตร์ เชื่อว่ามีต้นกำเนิดที่ประเทศจีนเมื่อประมาณ 100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศอินเดีย บาบิโลนและต่อไปยังประเทศตะวันตก กรีก โรมัน ประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป โดยเฉพาะเยอรมันและฝรั่งเศส อังกฤษ เรียกได้ว่าบรรดาประเทศต่างๆแม้ในยุโรปที่มีความเจริญ ก็ยอมรับเอาการพนันเป็นวัฒนธรรมของตนตั้งแต่นั้นมา ถึงขนาดที่ประเทศอังกฤษ ได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการพนันใช้บังคับเป็นผลสำเร็จเมื่อปี ค.ศ.1541 จากนั้นก็มีกฎหมายเกี่ยวกับการพนันใช้บังคับในหลายๆ ประเทศในยุโรป
การพนันประเภทลูกเต๋าที่นิยมเล่นในยุโรปต้นกำเนิดก็มาจากการพนันประเภทถั่วโป สมัยราชวงศ์ตั้งฮั่นและในสมัยพระเจ้าสูนฮ่องเต้ที่ 7 โดยขุนนางจีนชื่อ เลียงกี เป็นคนคิดการพนันประเภทถั่วขึ้นภาษาจีนเรียกว่า “อีจี๋หรือหัวจี๋” และต่อมาสมัยราชวงศ์ใต้เช็ง เมื่อ พ.ศ.2100 จีนได้คิดค้นวิธีเล่นลูกเต๋าขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกว่า “ป๊อหรือโป” และแพร่หลายมาจนปัจจุบัน ส่วนการพนันประเภท“หวย” ที่คนไทยนิยมเล่นกันนักหนา และเป็นต้นกำเนิดของสลากกินแบ่ง สลากกินรวบหรือลอตเตอรี่นั้น ก็มีกำเนิดมาจากจีนเช่นกัน ในยุคสมัยพระเจ้าเตากวาง แห่งราชวงศ์ใต้เช็ง
ประมาณ พ.ศ.2364-2394 ซึ่งแต่เดิมเรียกกันว่า “ฮวยหวย”พอเข้าถึงยุโรปก็พัฒนาเป็น สล็อตแมชชีนหรือบิลเลียดไฟฟ้า
ส่วนประเทศไทยนั้นการพนันเริ่มเข้ามาในยุคใดไม่มีบันทึกหลักฐานแน่ชัด แต่ก็สันนิษฐานเอาว่า การพนันน่าจะเข้ามาโดยการติดต่อการค้าขายกับประเทศจีน และจีนก็เป็นผู้นำเข้าการพนันประเภทถั่วโปมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อว่าประมาณปี พ.ศ.1450 มีการเล่นการพนันที่เรียกว่า “กำถั่ว” และประมาณปี พ.ศ.2100 ในแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมัยอยุธยามีการเล่นการพนันที่เรียกว่า“โป” ด้วยเหตุนี้หลักฐานชัดเจนจึงปรากฏขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดังปรากฏในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง หรือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ได้มีการเล่นพนันชนิดหนึ่งเรียกว่า “กำตัด” ซึ่งวิธีเล่นและอุปกรณ์คล้ายกันกับการเล่นถั่วหรืออีจี๋ ของจีน จึงสันนิษฐานได้ว่า คนไทยรู้จักการเล่นการพนันมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์
จะเรียกว่าประเทศไทยยอมรับให้มีบ่อนเล่นการพนันแบบถูกกฎหมายครั้งแรก น่าจะเป็นในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่ทรงเห็นว่า ประชาชนนิยมเล่นการพนันกันมาก จึงโปรดให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมจากเจ้าของบ่อนการพนันเพื่อเป็นเงินช่วยราชการเรียกว่า “อากรบ่อนเบี้ย” และยอมให้มีผู้ผูกขาดอากรไปตั้งบ่อนเบี้ยตามหัวเมืองต่างๆทั่วไป ซึ่งระบบดังกล่าวนี้ ยังคงใช้ต่อมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็ยังมีการจัดเก็บภาษีการพนันเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากบ่อนเบี้ยอีกประเภทหนึ่ง เพื่อใช้ทดแทนรายได้ภาษีที่ขาดไปเนื่องจากผลของการยกเลิกภาษีผูกขาดหลายประเภท จึงจะเห็นได้ว่าในอดีต ตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยาถึงยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นประเทศไทยมีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการพนันด้วยการแสวงหาประโยชน์จากการเล่นการพนันมากกว่าการจำกัดหรือควบคุม จนกระทั่งมาในยุคสมัยของรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการควบคุมการเล่นการพนันอย่างเคร่งครัดจริงจัง โดยมีการปิดบ่อนการพนันแทบทุกจังหวัด เนื่องจากปรากฏว่า ราษฎรพากันหมกมุ่นกับการพนันจนยากจนลงไปมาก ตลอดจนอาชญากรรมก็เกิดขึ้นมากมาย เพราะสาเหตุจากการพนัน
การหมกมุ่นในการพนันของคนไทยจำนวนมากส่วนหนึ่ง เป็นที่เลื่องลือและรู้จักกันดี ดังปรากฏบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรของ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์(Monsieur De La Loubere) เอกอัครราชทูตพิเศษฝรั่งเศส ที่มาเจริญสัมพันธไมตรีสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในปี พ.ศ.2230 โดยบันทึกไว้ว่า“ชาวสยามอยู่ค่อนข้างรักเล่นการพนันเสียเหลือเกินจนถึงจะยอมผลาญตัวเองให้ฉิบหายได้ ทั้งเสียอิสรภาพความชอบธรรมของตัวเองหรือลูกเต้า ในเมืองนี้ใครไม่มีเงินพอจะใช้เจ้าหนี้ได้ ก็ต้องขายลูกเต้าของตัวเองลงใช้หนี้สิน และถ้าแม้ถึงเช่นนี้แล้วก็ยังมิพอเพียง ตัวของตัวเองก็ต้องกลายตกเป็นทาส การละเล่นการพนันที่ไทยรักเป็นที่สุดนั้นคือ “ติกแตก” ชาวสยามเรียกว่า “สะกา” บันทึกนี้สะท้อนพฤติกรรมและวัฒนธรรมของคนไทยที่ผีพนันเข้าสิงอย่างแจ่มชัด
เรื่องราวเกี่ยวกับการพนันในสังคมไทย มีบันทึกประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องมากมาย บางยุคก็เปิดให้เล่นแล้วเก็บภาษีจากบ่อนเบี้ย ถึงกระนั้นก็หาเกิดประโยชน์แก่บ้านเมืองแต่อย่างใด ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการห้ามไม่ให้ข้าราชการเล่นการพนัน และหากผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษเฆี่ยนตี 90 ที พร้อมทั้งถอดยศบรรดาศักดิ์ลงเป็นไพร่ พิจารณาสังคมไทยปัจจุบันแล้ว นายกฯน่าจะนำบทลงโทษดังกล่าวมาปรับใช้กับนายตำรวจที่ปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนบ้างก็ดี
ประเทศไทยเคยผ่านเรื่องการพนันมาทุกรูปแบบ เคยมีบ่อนถูกกฎหมาย แม้แต่บ่อนกาสิโนก็เคยมี และเคยเปิดให้เล่นครั้งหนึ่ง ที่ตำบลหัวหิน เมื่อวันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2482 และใกล้สงครามโลกครั้งที่ 2ยุติรัฐบาลเคยเปิดสถานกาสิโนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2488 สถานที่แห่งแรกก็คือ สนามม้านางเลิ้ง และเยาวราช นั่นเอง
ในที่สุดถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงได้โปรดเกล้าฯให้เลิกบ่อนการพนัน ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า “การมีราษฎรมัวเมาในการพนัน ย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ในความมั่นคงของประเทศชาติ” จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อหารายได้อื่นมาทดแทนรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย มีการประกาศลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 9 ตำบล ในปี 2453 แต่กว่าจะเลิกบ่อนกาสิโนได้ในประเทศไทย ก็แสนยากลำบาก เพราะคนไทยติดพนัน จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้มีการประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2460
นี่ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับบ่อนการพนันในประเทศไทยแบบย่อๆ ยังมีเรื่องราวในประวัติศาสตร์อีกมากมาย ที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ยกเลิกการพนัน และต้องต่อสู้กับความคิดของผู้มีประโยชน์ได้เสีย และที่พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำริหลายประการเกี่ยวกับบ่อนการพนันนั้น พสกนิกรอย่างพวกเราจึงควรจะน้อมใส่เกล้า สำหรับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะจัดการกับบรรดาข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ขุนนางนักการเมือง และบรรดานายบ่อนทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับการพนันอย่างไร ควรได้ศึกษาประวัติศาสตร์ และน้อมนำเอาแนวทางของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 และบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ใส่เกล้าด้วยก็จะดี จะได้เป็นคุณูปการที่ดีกับบ้านเมืองของเราจึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ประพันธุ์ คูณมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี