เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “อนาคตประเทศไทยที่จะไม่ไร้สิ้นแรงงานข้ามชาติและโควิด” โดยหน่วยปฏิบัติการวิจัยความมั่นคงของมนุษย์และความเท่าเทียม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (HuSE) ซึ่งรศ.ดร.กิริยา กุลกลการ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับนโยบายแรงงานข้ามชาติของรัฐไทยในสถานการณ์โควิด-19 ระหว่างเดือน มี.ค.-ธ.ค. 2563 พบลักษณะการทำงานดังต่อไปนี้ 1.พยายามป้องกันโรคระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติ โดยการให้ความรู้ มี จ.สมุทรสาคร เป็นพื้นที่นำร่อง
กับ 2.ชะลอการนำเข้าแรงงานข้ามชาติ ด้วยเหตุผลคนไทยว่างงานจำนวนมาก เพราะเศรษฐกิจหดตัวจากโควิด-19 และคนจำนวนกว่า 19 ล้านคน จะถูกลดชั่วโมงทำงาน จึงต้องช่วยแรงงานไทยก่อน แต่ก็มีแรงงานข้ามชาติที่ว่างงานอยู่เช่นเดียวกัน มีคนอพยพกลับประเทศบ้านเกิดเพราะตกงาน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ไม่กลัวโควิด-19 แต่กลัวอดตายมากกว่า แต่อีกด้านแรงงานข้ามชาติก็ขาดแคลน เห็นได้จากสมาคมชาวสวนลำไยจันทบุรีขาดแคลนแรงงาน จำนวน 25,000 คน จนต้องร้องขอต่อภาครัฐให้อนุญาตการนำเข้าแรงงานจากกัมพูชา
“แรงงานข้ามชาติมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยคิดเป็นสัดส่วนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 ของกำลังแรงงานในประเทศ และสร้างรายได้ ร้อยละ 4-6 ของ GDP ไทย ถ้าหากมองย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 มีจำนวนแรงงานข้ามชาติมากถึง 3 ล้านคน แต่ปี 2562 เหลือเพียง 2.8 ล้านคน พอช่วงโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ นอกจากนี้เมื่อมีการระบาดของโควิด-19 รอบสอง จะเห็นได้ว่าภาครัฐเริ่มมีการเปิดจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติเถื่อนขึ้นมา ซึ่งเป็นนโยบายตามลำดับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” รศ.ดร.กิริยา ระบุ
ขณะที่ ศยามล เจริญรัตน์ ผู้แทนสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ เปิดเผยว่า จากการสำรวจพบแรงงานข้ามชาติมีความเปราะบางด้านสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุปกรณ์ป้องกันไม่เพียงพอ ไม่สามารถรักษาระยะห่างกันเพื่อนร่วมงานได้ เพราะจำกัดในเรื่องของพื้นที่ทำงาน และชั่วโมงการทำงานยังคงสูง เฉลี่ยทำงานวันละ 13 ชั่วโมงต่อวันและไม่มีวันหยุด นอกจากนี้ยังไม่สามารถรักษาระยะห่างในที่พักได้ เนื่องจากที่พักบางที่ไม่มีห้องครัวและเป็นห้องน้ำรวม
ส่วนการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโควิด-19 รับรู้ในระดับปานกลาง โดยรับรู้จากโทรศัพท์มือถือ ร้อยละ 64 รับรู้ผ่านอินเตอร์เนต ร้อยละ 46 และรับรู้ผ่านโทรทัศน์ ร้อยละ 25 และเรื่องของการป้องกันตัวจากโควิด-19 ของแรงงานพบว่า ร้อยละ 93 ใส่หน้ากากอนามัย ร้อยละ 61 ล้างมือบ่อยๆ ร้อยละ 45 พกเจลและสเปรย์ล้างมือ ร้อยละ 35 สร้างระยะห่างให้กับตนเอง ร้อยละ 11 เลือกการเดินทางที่คนน้อย และร้อยละ 8.4 รับประทานข้าวแยกจาน และแม้จะมีการจัดการตนเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้มากนัก เนื่องจากมากถึงร้อยละ 55 ต้องซื้ออุปกรณ์ป้องกันเองที่มีราคาสูง
นพ.พรเทพ โชติชัยสุวัฒน ผู้แทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ความเห็นว่า ปัญหาในไทยเป็นเรื่องที่อยู่ใต้โต๊ะ เรื่องแรงงานข้ามชาติก็ทำไม่เป็นระบบ การแก้ปัญหาเชิงบวกและลบก็ยังปิดบังข้อมูล โดยมีข้อเสนอ 5 เรื่อง 1..กฎหมาย ต้องเป็นธรรม ชัดเจน และบังคับใช้ได้จริง 2.ข้อมูล ใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และเชื่อมโยงกันได้จริง 3.คุ้มครองสิทธิ์ ทำศูนย์รับเรื่องร้องเรียนแก่แรงงานข้ามชาติ 4.งบประมาณ ต้องทำความเข้าใจแก่ทุกฝ่ายในเรื่องงบประมาณที่จะช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ และ 5.จริยธรรม ต้องแก้ไขเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกัน
ธนิทธิ์ ลอยพิมาย ผู้แทนสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า เรื่องโควิด-19 เป็นภาวการณ์ใหม่ของทุกคน ทั้งไทยและต่างประเทศ ในมุมมองขอประกันสังคม ทั่วโลกที่ใช้มาตรการรับมือจะคล้ายๆกัน คือมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาระยะสั้นก่อน ซึ่งจะแก้ปัญหา 2 เรื่องสำคัญ 1.สุขภาพ ให้การคุ้มครองในเรื่องของโควิด-19 กับ 2.ว่างงาน มองถึงการลดภาระของผู้ประกอบการและลูกจ้าง ขณะเดียวกันต้องการให้ได้สิทธิประโยชน์ให้มากที่สุด ซึ่งเดิมทีต้องจ่ายเงินสมทบฝ่ายละ ร้อยละ 5 แต่ในช่วงที่ผ่านมาก็มีการลดเหลือจ่ายเพียงร้อยละ 3 ซึ่งจะดูตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้แล้วยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในกรณีว่างงาน เช่น กรณีออกจากงานเพราะโควิด-19 เป็นต้น ปัจจุบันทางประกันสังคมต้องทำความเข้าใจและช่วยเหลือ
กลุ่มแรงงานข้ามชาติเท่าที่ทำได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการเช่น การสื่อสาร ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้แรงงานข้ามชาติยังเข้าไม่ถึงข้อมูลของประกันสังคม ซึ่งระบบเพื่อรองรับคนกลุ่มนี้มีอยู่ โดยมองถึงกลุ่มแรงงานเป็นหลัก และไม่แบ่งแยกชนชาติ ได้สิทธิ์เท่าเทียมกัน แต่มีข้อจำกัดคือมีกลุ่มแรงงานบางกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ ซึ่งเหมือนกันทั้งคนไทยและคนต่างชาติ
ด้าน ศิววงศ์ สุขทวี ที่ปรึกษาเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ได้ต้องการแต่แรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่ต้องการประชากรในอนาคตเพิ่มเติม ซึ่งจากผลสำรวจของ กรมการปกครอง พบว่า อีก 20 ปีข้างหน้าคนในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไปในปัจจุบัน จะเกษียณในช่วงที่พีคที่สุดในประชากร แต่เด็กที่เกิดในปีนี้ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต มีเพียงแค่ 6 แสนคนเท่านั้น หมายความว่ามี 4 แสนคนที่หายไปในวันที่คนอายุ 40 ปีขึ้นไปในปัจจุบันเกษียณอายุ จึงทำให้แรงงานไทยจะไม่เพียงพอต่ออนาคต
จึงจะเป็นต้องทบทวนถึงนโยบายที่คิดถึงเรื่องโครงสร้างประชากรที่จะเสริมเข้ามาทั้งระบบ รวมถึงการเกิดของคนไทย การนำเข้าแรงงานข้ามชาติ รวมไปถึงผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน คนไร้สัญชาติ ที่ผ่านนโยบายหลายกระทรวงมีการปรับเปลี่ยน เช่น กระทรวงมหาดไทยเริ่มแก้ไขกฎหมายสัญชาติ ว่าด้วยเด็กที่เกิดในประเทศไทยสามารถเรียนจบปริญญาตรี สามารถขอสัญชาติไทยได้ กระทรวงศึกษาธิการ เริ่มตั้งแต่ปี 2548 ให้การศึกษาเด็กทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือว่าไม่มีสัญชาติก็ตาม ซึ่งคือการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กที่เกิดในไทยแต่ไม่มีสัญชาติไทย
กระทรวงสาธารณสุข พยายามคิดหากลไกนโยบายที่จะมาสร้างกลไกการดูแลสุขภาพในกับคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้กลุ่มแรงงานในประเทศไทยไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มแรงงานข้ามชาติเพียงอย่างเดียว บางคนมีลูกมีหลานที่เกิดในไทยเพราะฉะนั้นการกลับสู่ประเทศบ้านเกิดจึงไม่ได้เป็นทางเลือกของคนเหล่านี้ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปอดีตในช่วงที่เลือกตั้งในเมียนมา หรือกองทัพในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ยึดอำนาจใหม่ๆ ทำให้เกิดการสร้างเงื่อนไขให้อพยพกลับประเทศของแรงงานข้ามชาติ
สิ่งที่พบคืออุตสาหกรรมบางอย่างยอดผลิตต่ำลง เช่น ประมง ที่กำลังการผลิตต่ำลงจนหายออกจากระบบ จึงทำให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติยังมีความสำคัญกับเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลางของไทยสามารถก้าวต่อไปได้ แต่นโยบายการจัดการแรงงานของไทยมีอคติต่อกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ซึ่งทำให้ไม่อยากให้กลุ่มเหล่านี้อยู่ในประเทศไทยนานๆ
จึงถือว่าเป็นปัญหาเป็นอย่างมากสำหรับแรงงานข้ามชาติ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี