นับตั้งแต่การออก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ซึ่งนำไปสู่การนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชาตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข จนปัจจุบันมีการเปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์จำนวนมากในระบบแพทย์แผนปัจจุบัน แผนแพทย์ไทยและแพทย์ทางเลือก แต่ก็ยังมีผู้ใช้กัญชาทางการแพทย์อีกไม่น้อยที่ยัง
ไม่ขึ้นทะเบียน จึงกลายเป็นคำถามว่า ปริมาณกัญชาที่ผลิตได้กับความต้องการใช้สอดคล้องกันหรือไม่? เพียงใด?
แต่ก่อนหน้านั้น ต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า “แล้วใครบ้างที่ใช้กัญชา?” ซึ่งจากการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพใน โครงการศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย โดยศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และคณะนักวิจัย ร่วมกับ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) โดยการสนับสนุนของโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า 1.ภาพรวมของผู้ใช้กัญชาทางการแพทย์ของไทยนั้น มีสัดส่วนเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย
2.ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุผู้ใหญ่ตอนปลาย (45-65 ปี) มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 61 3.ราว 1 ใน 3 ของจำนวนผู้ใช้กัญชาทางการแพทย์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป 3.ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเจ้าของกิจการ และรองลงมาคือรับราชการ 4.มีระยะเวลาในการใช้เฉลี่ย 10 เดือน 5.สำหรับกลุ่มอาการป่วยที่มีการใช้กัญชาทางการแพทย์มากที่สุด คือกลุ่มโรคมะเร็ง รองลงมา คือโรคของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก อาทิ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเข่า ปวดหลัง ปวดประจำเดือน ข้อเข่า ข้อสะโพกเสื่อม ออฟฟิศซินโดรมไมเกรน ไปจนถึง กระดูกทับเส้นประสาท
นอกจากนี้ ยังมีการใช้กัญชาในกลุ่มโรคทางจิตประสาทและกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มเติมอีกด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นการใช้กับลักษณะโรคกลุ่มใดก็ตาม ทุกคนต่างยอมรับว่ากัญชาช่วยให้มีอาการเจ็บป่วยของโรคดีขึ้น หรือดีขึ้นมากเสมอ 6.ผู้ใช้กัญชาทางการแพทย์ส่วนใหญ่นั้น มักใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาในรูปแบบน้ำมันสกัดสำหรับกินหรือหยดใต้ลิ้น แต่มีบางส่วนที่ใช้ดอก ใบ ต้น รากกัญชาสดหรือแห้ง โดยไม่ผ่านการสกัดและแปรรูป รวมทั้งใช้ในรูปแบบขนมหรือชากัญชาร่วมอีกทางหนึ่ง
และ 7.ส่วนการเข้าถึงผลิตภัณฑ์กัญชานั้นมีหลากหลายตามแต่ภูมิภาคตั้งแต่การได้กัญชามาจากผู้ค้ายาในตลาดมืด ในภาคกลางและภาคใต้ได้จากแพทย์พื้นบ้านนอกระบบสาธารณสุข ได้ฟรีจากเพื่อนหรือญาติพี่น้องให้มาในภาคเหนือ หรือในพื้นที่อีสานมักได้จากแพทย์แผนปัจจุบันที่เปิดคลินิกส่วนตัวและให้บริการรักษาด้วยกัญชา ซึ่งข้อสังเกตสำคัญสำหรับเรื่องนี้ก็คือสัดส่วนของการได้รับกัญชาทางการแพทย์จากโรงพยาบาล หรือหน่วยงานในระบบสาธารณสุขอยู่ในระดับต่ำมาก
“ที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันดีว่า กัญชาเป็นสารเสพติดประเภทที่ 5 ตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ทำให้การติดต่อสื่อสารของเครือข่ายการใช้กัญชาใต้ดินนั้นมักไม่เปิดเผยตัวตน แต่ก็มีการถ่ายทอดความรู้หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ผ่านตำรา การบอกต่อ รวมไปถึงการฝึกอบรมโดยใช้อุปกรณ์สื่อสารอย่างวิทยุ หรือกลุ่มไลน์” ขณะที่กัญชาที่ซื้อขายทั่วไปนั้น มักมาจากประเทศเพื่อนบ้านหรือในตลาดทั่วไป แต่ก็มีการปนเปื้อนของสารเคมี โดยเฉพาะสารกำจัดศัตรูพืช รวมถึงปัจจุบันมีการลักลอบปลูกกัญชาไว้ใช้เองเป็นจำนวนมาก
ถัดมาเป็นกลุ่มที่ครอบครอง ผลิต หรือแปรรูปกัญชา พบว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักธุรกิจหรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดังนั้น กัญชาใต้ดินจึงเป็นการซื้อขายกันในเชิงพาณิชย์ มากกว่านำไปใช้เพื่อรักษาอาการป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้น การเริ่มต้นของการเข้าไปใช้บริการกัญชาก็มักมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยของตนเองเป็นหลัก สำหรับโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ของกัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่ากัญชาอยู่คู่กับสังคมไทยมาตั้งแต่อดีต ผ่านการใช้กัญชาทางการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก
ในปี 2562 กระทรวงสาธารณสุข โดย กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ร่วมกับ สภาการแพทย์แผนไทย ออกประกาศรับรองตำรับยาที่มีส่วนผสมของกัญชาจำนวน 16 ตำรับ ส่วนใหญ่ใช้รักษาเรื่องลม การนอนหลับ แก้ปวด รับประทานอาหารได้เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันมีคลินิกกัญชาการแพทย์ให้บริการทั้งสิ้น 255 แห่งทั่วประเทศ แต่ในจำนวนนี้มีคลินิกกัญชาที่ให้มีบริการแต่ไม่มีผู้ป่วยเข้ามารับยาทั้งในรูปแบบยากัญชาแบบแพทย์แผนปัจจุบันหรือกัญชาแบบแพทย์แผนไทยมากถึง 134 แห่ง
ภาพสะท้อนเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทยในช่วงปีแรกของการประกาศใช้กัญชาทางการแพทย์แบบถูกกฎหมาย จากโครงการศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทยนั้น จะเห็นได้ว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังได้รับผลิตภัณฑ์กัญชาจากแหล่งนอกระบบสาธารณสุข และใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วยหลายชนิดที่อยู่นอกเหนือข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนประสิทธิผล
นอกจากนี้ ผู้ใช้ส่วนใหญ่กลับมองเห็นเฉพาะด้านบวกของกัญชาและผลของการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค เนื่องจากประชาชนจำนวนมากใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคอยู่แล้ว ดังนั้น การช่วยให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ การเพิ่มการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ในระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะ
จากคลินิกกัญชาทางการแพทย์ ทั้งแผนไทยและแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข และการทบทวนข้อบ่งชี้ของการสั่งใช้ยากัญชาให้ทันสมัยตามหลักฐานวิชาการ โดยคำนึงถึงความจำเป็นของผู้ป่วย
จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นและเร่งด่วน รวมทั้งยังผูกโยงไปถึงความท้าทายทางนโยบายอันต่อเนื่องของประเทศไทย ในเรื่องกัญชาทางการแพทย์อีกด้วย!!!
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี