เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับ สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.)จัดงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “การรับมือกับสถานการณ์การระรานทางออนไลน์ของเด็กไทย (Cyberbullying)”ซึ่งการระรานหรือรังแก (Bully) แม้จะเป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว แต่เทคโนโลยีทำให้ระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นมีการนำเสนอผลการวิจัย อาทิ ผลการศึกษาการรับมือกับสถานการณ์การระรานทางออนไลน์ของเด็กไทย ปี 2563 มีกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กระดับชั้นมัธยมศึกษาทุกภูมิภาค 3,240 คน พบว่า
1.กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 21.6 เคยถูกระรานทางออนไลน์ในรอบปีที่ผ่านมา 2.ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการถูกระราน ร้อยละ 44.79 รู้สึกวิตกกังวล ร้อยละ 37.38 รู้สึกเจ็บปวดและเศร้า ร้อยละ 23.11 อยากแก้แค้น ร้ายแรงสุด คือ ร้อยละ 17.26 อยากฆ่าตัวตาย 3.กรณีการไประรานผู้อื่นทางออนไลน์ มีเด็กร้อยละ 14.1 เคยระรานทางออนไลน์ผู้อื่น 4.ความรู้สึกหลังระรานผู้อื่น ส่วนใหญ่ ร้อยละ 57.73 กล่าวว่ารู้สึกผิดที่น่าตกใจ คือ ร้อยละ 33.55 หรือ 1 ใน 3 รู้สึกสะใจ ร้อยละ32.03 รู้สึกเท่ อนึ่ง “ร้อยละ 35.81 ของนักเรียนที่เคยถูกระรานมีพฤติกรรมไประรานผู้อื่น” เป็นต้น
รศ.จุมพล รอดคำดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อ กล่าวว่าการรังแกกันในกลุ่มเด็กและเยาวชนไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะมีมาก่อนจะเกิดคำว่าออนไลน์แล้ว เช่น การล้อเลียนรูปร่างหน้าตา การล้อชื่อพ่อ-แม่ ซึ่งทำให้เกิดความไม่สบายใจ เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้การรังแกหรือระรานกันสามารถสื่อออกไปได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ขณะเดียวกัน “เด็กยุคนี้มีความอ่อนไหวสูงจากการรับสื่อ..แต่ก็ไม่รู้ว่าจะป้องกันตนเองหรือรับมืออย่างไร” กลายเป็นปัญหาเก็บไว้ในใจ และบั่นทอนจิตใจไปเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่าชีวิตแย่ลง
“การหาทางออกของเด็ก เด็กค่อนข้างไม่รู้ว่าจะออกทางไหน จริงอยู่ว่ามีเพื่อน พ่อแม่ ครู แต่จากประสบการณ์ด้วยจากที่ได้พบเด็ก เด็กเองเวลามีปัญหาก็ไม่ได้พูดกับพ่อแม่ไม่บอกพ่อแม่แต่ไปเล่าให้เพื่อนฟัง หรือการเล่าให้เพื่อนฟังอาจจะช่วยได้บ้างในแง่ของเพื่อนให้กำลังใจ หรือเพื่อนบางคนก็โกรธแทน ก็ชวนให้ไปตอบโต้แทนเพื่อน แต่ก็มีน้อย ไม่ได้มากแต่สิ่งสำคัญที่ผมเห็นก็คือว่าการพึ่งครู-อาจารย์ที่อยู่โรงเรียน บางทีน้อยเกิน
ครูน่าจะสนใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงหรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในลักษณะที่เด็กอาจจะมีปัญหาทางจิตใจในเรื่องของการระราน มันเป็นปัญหาที่บางทีครูอาจจะคาดไม่ถึง จนกระทั่งเด็กอาจจะมีการทำร้ายตัวเอง หรือว่าทำร้ายซึ่งกันและกัน แล้วครูมักจะไม่อยากให้เป็นปัญหามากมาย ครูจะบอกให้ไปคุยกันหรือวิธีแก้ปัญหาของครูก็คือไปคุยกันแล้วก็ตกลงกันให้ได้ แล้วครูก็เฉยไม่ได้ทำอะไรต่อ” รศ.จุมพล กล่าว
ขณะที่ นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า หลายคนอาจจะคิดว่าการรังแกกันจะเป็นปัญหาอะไรมากมาย แต่หากไปดูลำดับขั้นผลกระทบ ซึ่งอาจไปถึงขั้นฆ่าตัวตายก็ได้ และการสูญเสียแม้เพียงชีวิตเดียวก็เป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องมาจัดการตั้งแต่ต้นทาง “การบอกว่าอย่าแกล้งไม่พอ..ทำอย่างไรจะทำให้รู้สึกว่าไม่แกล้งดีกว่า” หรือก็คือทำให้ระบบนิเวศของสื่อเอื้อต่อสุขภาวะที่ดี
ซึ่งการขับเคลื่อนประเด็นปัญหานำไปสู่การแก้ไข ต้องทำ3 เรื่อง 1.งานวิชาการ ต้องมีข้อมูลประกอบเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าพูดเองเออเอง และเพื่อตกผลึกมองเห็นประเด็นต้องขับเคลื่อน รวมถึงความรู้ที่ต้องนำไปใช้สร้างศักยภาพผู้เกี่ยวข้องเช่น ครู ผู้ปกครอง 2.สิ่งแวดล้อม หมายถึงปัจจัยต่างๆ รอบตัวเช่น กฎหมาย นโยบายภาครัฐ แม้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดแต่จำเป็นต้องมี และ 3.ขับเคลื่อนสังคม เช่น บทบาทของสื่อ
“การเปลี่ยน Mindset (วิธีคิด) การทำงาน การมองการสื่อสารอะไรต่างๆ มันจะทำให้เรารู้สึกว่าเป็นตัวหล่อหลอมสังคมไปในทิศทางหนึ่ง มองในเชิงบวกมากขึ้น การขับเคลื่อนสังคมเป็นประเด็นใหญ่ ทั้งภาครัฐเองก็ต้องทำ ภาค NGO (ประชาสังคม) นักวิชาการต่างๆ คงจะต้องมาช่วยขับเคลื่อนสังคมร่วมด้วย ซึ่ง 3 เรื่องนี้ สสส. ยินดีสนับสนุนแล้วก็ร่วมทำงานกับหลายๆ ส่วน” นพ.ไพโรจน์ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง “ดีเจพี่อ้อย” นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล นักจัดรายการวิทยุ “Club Friday” เล่าถึงงานที่ต้องรับฟังและตอบปัญหาเกี่ยวกับความรักในรายการ Club Friday ซึ่งสมัยที่ยังออกอากาศผ่านวิทยุเพียงช่องทางเดียว จะมีเพียงการรอรับสายจากผู้ฟังที่โทรศัพท์เข้ามา รับฟังปัญหาและพูดให้กำลังใจ แต่เมื่อมาถึงยุคที่สามารถรับชมการจัดรายการสดๆ (Live) สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คือความคิดเห็น (Comment)ของผู้ชม-ผู้ฟังที่สื่อสารมาในช่องทางออนไลน์ และหลายความคิดเห็นรุนแรงมาก
“มันเป็นสิ่งที่ตัวเองเห็นคือ เรามักจะศีลธรรมแข็งแกร่งเวลาที่เกิดขึ้นกับคนอื่น เช่น เห็นคนอื่นนอกใจกัน ก็จะมีคนเข้าไปด่าว่าแรงๆ หรือแม้แต่กระทั่ง “พี่อ้อย-พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา-ผู้ร่วมจัดรายการ Club Friday อีกท่านหนึ่ง) ด่าเลยค่ะ ด่าให้สาแก่ใจ ด่าให้รู้สึก”เดี๋ยวค่ะทุกคน ถ้าด่าแล้วมันดีขึ้นวันนี้สังคมไทยดีแล้วละ เพราะด่าเก่งมากทุกคน ในทุกเพจมีการด่าอย่างรุนแรงจริงๆ อันนั้นคิดว่าเป็นความอึดอัดใจ
อย่าลืมว่าคนที่โทร.เข้ามามีปัญหาจริงๆ เขาอ่อนแอหลายคนทำผิดแล้วอยากจะเดินไปในทางที่ถูก การด่าไม่ได้ช่วยที่จริงเราต้องเชียร์ “โอเค!..เข้าใจว่าผิดแล้วใช่ไหมคะ? ตอนนี้อย่างไรต่อ? ตอนนี้เราจะแย่งความรักของเขาอย่างนี้ไปตลอดหรือ?” อะไรประมาณนี้ มันทำให้การจัดรายการต้องมาคุยกับคน Comment ด้วย “ใจเย็นๆ น้อง ไม่มีใครไม่เคยอ่อนแอ” ทุกคนเคยอ่อนแอ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่อนแอเราต้องให้กำลังใจ”นภาพร ยกตัวอย่างความรุนแรงจากความคิดเห็นบนโลกออนไลน์
นภาพร เล่าต่ออีกว่า บางครั้งคนที่เคยโทรศัพท์เข้ามาบอกเล่าปัญหาในรายการ โทร.กลับมาภายหลังเพื่อขอให้ช่วยลบคลิปรายการตอนดังกล่าวออกไป ซึ่งเข้าใจว่าลำพังเรื่องราวที่คนคนนั้นพบเจอมาก่อนก็หนักแล้ว พอเรื่องราวออกอากาศแล้วยังถูกด่าทออย่างรุนแรงอีก “มีคนไม่น้อยที่ไม่ได้มองเห็นเรื่องราวจริงๆ แต่มุ่งมั่นที่จะแสดงความคิดเห็นสามารถร่วมด่าได้ราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเอง” แต่อยากให้มองว่าคนทุกคนตื่นขึ้นมาคงไม่มีใครตั้งใจอยากทำชั่วการที่คนคนหนึ่งกล้ามาเปิดเผยความผิดพลาดของตนในรายการ ก็อยากให้มองว่าทุกคนจะได้เรียนรู้
ส่วนประเด็นการระรานหรือรังแกกัน ข้อสังเกตหนึ่งจากงานวิจัยที่นำเสนอไปข้างต้นคือ “เด็กในครอบครัวที่อบอุ่นจะได้รับผลกระทบจากการระรานน้อย” ซึ่งแม้ครอบครัวอบอุ่นจะไม่ได้ทำให้เด็กไม่ถูกรังแก แต่ก็ทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง หรือ Self-Esteem (ความนับถือตนเอง) เช่น ถึงตนเองไม่สวยก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน“ในครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ไม่ว่าสมาชิกไม่ครบ หรือครบแต่พ่อแม่มีปัญหากัน เด็กจะรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า แล้วก็จะไปโหยหาการมีค่าจากสิ่งอื่น” และสื่อออนไลน์ก็เป็นส่วนหนึ่งของการได้รับการยอมรับ
“ทำไมวันนี้คนชอบให้คนกดไลค์ (Like) เพราะเราต้องการการยอมรับ บางคนถึงขั้นถ่ายภาพโป๊ก็ได้นะ โป๊นิดโป๊หน่อยให้คนกดไลค์ เพราะฉะนั้นเทียบกันว่า “ดูสิแต่งตัวแบบนี้มีคนไลค์ตั้งเยอะ” และการลงทุนที่ได้มานั้นเป็นการลงทุนที่ถูกไป เพราะภาพเหล่านั้นอยู่กับเราทั้งชีวิต และอาจจะยาวไปมากกว่า จบชีวิตไปแล้วภาพยังอยู่ยังมีเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็น หรือว่าถ้าเรามีครอบครัวที่แข็งแกร่ง พ่อแม่ที่เข้าใจ สร้างคุณค่าของการนับถือตนเอง ไม่ว่าจะมีใครมานั่งล้อด้วยอะไรก็ตาม มันก็จะสะเทือนน้อย” นภาพร กล่าว
ปิดท้ายด้วยติวเตอร์ภาษาไทยขวัญใจวัยรุ่น “ครูลิลลี่” กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ เล่าว่า ชีวิตผ่านประสบการณ์ถูกรังแกมาตลอด ตั้งแต่วัยเรียนในโรงเรียนชายล้วน ด้วยลักษณะเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด แถมยังมีรูปลักษณ์ไม่สวยอีก แต่การถูกรังแกก็สอนให้ต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด แม้จะเป็นวิธีที่อาจไม่เหมาะสม เช่น ใครด่ามาก็ด่ากลับ รวมถึงเอาชนะด้วยการฝึกฝนตนเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับ เช่น ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนดีในทุกวิชาและกลายเป็นติวเตอร์ให้กับเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ในช่วงใกล้สอบ
จากนั้นพอเรียนจบมาเป็นครูตั้งแต่ปี 2535 นอกจากเรื่องเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ของวิชาชีพครู ยังถูกผู้ปกครองและสังคมตั้งคำถามเรื่องจบนิเทศศาสตร์ ไม่ได้จบครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ แต่มาเป็นครูและสอนภาษาไทยอีก วิธีที่ตนเองใช้รับมือและนำมาให้ข้อคิดกับเด็กๆ ที่เผชิญสถานการณ์ทำนองเดียวกันคือ “จะทำอย่างไรให้คำพูดเชิงลบเหมือนการเขียนข้อความบนผืนน้ำ...ไม่ใช่สลักข้อความบนก้อนหิน” การเขียนข้อความบนผืนน้ำสักพักกระแสน้ำก็ทำให้ข้อความหายไป แต่การสลักข้อความบนก้อนหิน ข้อความนั้นจะติดก้อนหินไปตลอด
อย่างไรก็ตาม “กรณีถูกรังแกแล้วจะตอบโต้ต้องมีศิลปะ ไม่เช่นนั้นอาจบานปลายลุกลามรุนแรงขึ้น” อาทิ อย่าใช้การด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่ต้องมีวิธีการพูดเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองไม่พอใจ “มากไปกว่านั้นคือต้องสอนให้เข้าใจโลก ที่ในสังคมซึ่งมีผู้คนหลากหลาย มันก็มีพวกที่สนุกปาก-สนุกมืออยากพูดอยากเขียนด่าคนอื่น” ฉะนั้นเมื่อเข้าใจก็ปล่อยวางอย่าเก็บมาคิดมาก เพราะยิ่งคิดก็เหมือนใช้มีดแทงตนเองให้เจ็บซ้ำๆ แต่เรื่องนี้ต้องมีการสอน สื่อต้องมีบทบาท มีการขยายวงไปยังครู ผู้ปกครอง ไปถึงฝ่ายการเมือง ยกระดับให้เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของสังคม
“ทำอย่างไรให้เด็ก 1.มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ 2.แล้วเขาต้องเกิดจากตัวเขาเอง เพราะสุดท้ายเราไปห้ามคน Bully ไม่ได้ ต้องทำอย่างไรให้เด็กโดน Bully แล้วอยู่ได้ แล้วเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่อย่างมีคุณภาพ คือตอนเด็กโดนชุดหนึ่ง ตอนโตอยู่ในสังคมก็โดนอีก เจ้านาย ลูกน้อง หัวหน้า ฉะนั้นทำอย่างไรให้เป็นคนที่มีคุณภาพจนถึงบั้นปลายของชีวิตของเขา อันนี้คือโจทย์สำคัญที่พวกเราต้องช่วยกัน” ครูลิลลี่ ฝากข้อคิด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี