โครงการ “ครูเพื่อศิษย์ สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยงออนไลน์”ภายใต้รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการให้ผู้เรียนเกิดความรู้ชัดเจนในสิ่งที่เรียน และสามารถนำไปคิดต่อ ต่อยอดใช้ได้ในชีวิต จึงเป็นบทบาทของครูที่ต้องจัดการเรียนการสอนให้ศิษย์รู้จักเชื่อมโยง ซึ่งในการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) “จัดการความรู้และเติมความรู้” ให้กับ “ครูแกนนำ” ทั่วประเทศ จัดโดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อเดือน ธ.ค. 2563 ได้เชิญวิทยากร 3 ท่าน มาให้มุมมอง
รศ.ดร.ทิศนา แขมมณี ราชบัณฑิตประเภทวิชาศึกษาศาสตร์ เริ่มต้นด้วยประเด็น “การตั้งคำถาม” เครื่องมือดั้งเดิมที่เหมือนเป็นอะไรง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วเป็นเรื่องยาก “การใช้คำถามกระตุ้นความคิดนั้นไม่ใช่การใช้คำถามเฉยๆ” การคิดเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ จำเป็นต้องมีเรื่องให้คิด และทักษะการคิดจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฝึกคิดบ่อยๆ โดยสามารถใช้คำถามกระตุ้นได้หลากหลายการคิด ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกตัวไหนให้เหมาะสมกับเรื่องและบริบท
ทั้งนี้ ผู้สอนต้องสามารถวิเคราะห์กระบวนการคิดของผู้เรียน มองเห็นจุดบกพร่องหรือจุดอ่อนของผู้เรียน ผู้เรียนจะพัฒนาขึ้นเมื่อได้รับและนำข้อมูลกลับไปใช้ในการแก้ไขหรือปรับปรุงวิธีคิดของตน เป็นต้น การใช้คำถามกระตุ้นการคิดเพื่อการเรียนรู้และสะท้อนผลการเรียนรู้นั้น ครูผู้สอนต้องมีพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการคิดประเภทต่างๆ ที่หลากหลายมีความเข้าใจในความหมายและขั้นตอนหรือกระบวนการของการคิดแต่ละประเภท
“แนวทางที่สำคัญมากๆ คือ รับฟังผู้เรียนเพื่อเข้าใจแนวคิด ความคิด วิธีคิดของเขา กำหนดสาระการเรียนรู้(Concept/content) ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ วิเคราะห์ว่าผู้เรียนขาดความเข้าใจในสาระการเรียนรู้อะไร บกพร่องในการคิดประเภทใดและตรงไหนในกระบวนการคิดนั้น เพื่อให้เห็นเป้าหมายของการถาม จากนั้นใช้คำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดในจุดหรือขั้นตอนที่ผู้เรียนขาด และใช้คำถามย่อย นำผู้เรียนให้คิดไปสู่คำตอบที่ต้องการและเมื่อได้” รศ.ดร.ทิศนา กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ อดีตอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เติมเครื่องมือ“การตั้งคำถามกระตุ้นการคิดเพื่อการเรียนรู้” โดยอธิบายว่า “ถามคือสอน” เป็นกระบวนการปุจฉา-วิสัชนาเพื่อชักนำให้เกิดปัญญาระดับสูงขึ้นจากการคิดบูรณาการความรู้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้สอน ที่จะทำให้เกิดความรู้จากการเอาสิ่งที่ผู้เรียนรู้อยู่แล้วมาบูรณาการในสิ่งที่ผู้เรียนสงสัย ซึ่งในกระบวนการ เมื่อครูเป็นคนถามและศิษย์ฟัง ครูต้องทำให้ศิษย์ฟังให้ได้ เมื่อศิษย์ฟังแล้ว ก่อนที่ศิษย์จะตอบ ต้องคิดให้ได้ก่อนว่าตัวครูเองจะตอบอะไร
เมื่อศิษย์ตอบก็เป็นหน้าที่ของครูในการฟังคำตอบ โดยครูฟังคำตอบของศิษย์ แต่ครูใช้ขั้นความรู้ที่สูงกว่าศิษย์ แต่การเข้าใจคำตอบของศิษย์นำไปสู่การคิดขั้นสูงของครู ครูคิดวิเคราะห์จากคำตอบของศิษย์ว่าศิษย์รู้อะไรมาบ้าง เมื่อเข้าใจแล้วว่าศิษย์เข้าใจอะไรผิดหรือไม่รู้อะไร นำไปสู่การคิดสังเคราะห์ เพื่อสร้างคำถามใหม่ ที่ขั้นความรู้ของครูที่สูงกว่าศิษย์ “ครูพาศิษย์ไต่บันไดการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ถ้าเห็นว่าศิษย์ออกไปนอกทางครูต้องดึงกลับมาให้อยู่ในเรื่องราวไม่ให้ออกไปนอกทาง จนกระทั่งศิษย์ร้องอ๋อ!” ซึ่งเป็นการชักนำจาก “ปุจฉา-วิสัชนา” ให้เกิดความรู้ด้วยตนเอง
“กระบวนการถามคือสอนเป็นการสื่อสารสองทาง และสลับบทบาทครูกับเด็ก ในการ ฟัง-คิด-ถาม-ตอบ-จด ถ้าเราใช้การตั้งคำถามไปเรื่อยๆ โดยวิธีการไต่ระดับ เด็กจะดึงความรู้มาตอบ กระบวนการถาม ในการสอนแบบเดิมคือ “สุ จิ ปุ ลิ(ฟัง คิด ถาม จด)” แต่ถามคือสอน สลับบทบาท สุ จิ ปุ ลิ คือ เด็กฟัง ไม่เข้าใจก็ถาม ครูมีหน้าที่ตอบ แต่กลับกัน ครูเป็นคนถาม เด็กเป็นคนตอบ จะเป็นฟัง-คิด-ถาม-ตอบไปเรื่อยๆจนร้อง “อ๋อ! รู้แล้ว” จึงจบวนไปอย่างนี้” รศ..ดร.สุธีระ อธิบาย
ด้าน ศีลวัต ศุษิลวรณ์ รองผู้อํานวยการฝ่ายวิชาการ โรงเรียนเพลินพัฒนา กล่าวว่า กระบวนการสำคัญคือ ครูมีโจทย์ที่ทำให้สมองตื่นตัว ให้เกิดการเสียเสถียรเชิงบวก โดยการสงสัย และลงมือแก้สงสัย นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมีการเขียนบันทึกการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ และมีการนำเสนอบันทึกให้ทุกคนได้เห็น อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมเป้าหมายที่ต้องการให้เห็น คือ1.ผู้เรียนเห็นการเรียนรู้ของตนเอง 2.ผู้เรียนเห็นการเรียนรู้ของเพื่อน และ 3.ครูเห็นการเรียนรู้ของผู้เรียน
ซึ่งเมื่อเกิด 3 สิ่งนี้ขึ้นมาจะเกิดการสนธิพลังกัน จะไม่มีฝ่ายผู้เรียนหรือผู้สอน ศิษย์จะเป็นผู้เรียน และมองออกว่าจะเป็นผู้เรียนอย่างไร ส่วนมุมของครูจะเข้าใจหัวใจของศิษย์ ครูจะไม่คิดเอาเอง แต่ครูจะเริ่มมองออกว่าสภาวะจริงของศิษย์แต่ละคนตรงไหนครูจะตอบสนองต่อเด็กตามสภาวะจริงที่เป็นสุขหรือทุกข์ ดังนั้นถอยกลับไป เน้นศิษย์เห็นสภาวะการเรียนรู้ของตนเองและเพื่อน และครูเห็นสภาวะการเรียนรู้ของศิษย์
บทสรุปจองโครงการนี้ “การเรียนการสอนในโลกการเรียนรู้ใหม่ที่เน้นลงมือทำมากกว่าท่องจำ ..ครูต้องเป็นนักถาม” โดยผู้สอนมีชุดคำถาม รู้ว่าจะถามเมื่อไหนและถามอย่างไรผู้เรียนจึงจะเกิดการคิดและคิดต่อ นำไปสู่การหาคำตอบที่ผู้เรียนเกิดจากความเข้าใจแท้จริง ไม่ใช่คำตอบที่ครูบอกว่าถูกหรือผิด และครูต้องรู้ว่าจะประเมินผลการเรียนการสอนนั้นอย่างไร เป็นกระบวนการที่นำไปสู่ผลลัพธ์ทั้งครูและนักเรียน บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ร่วมกัน
นี่จึงเป็นคำตอบว่าระหว่างที่เราเห็น “เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้” บทบาทของครู เป็นทั้ง ครู(Teacher) เป็นโค้ช(Caoch) เป็นผู้อำนวยความสะดวก(Facilitator) หรือเป็นผู้ชี้แนะ (Mentor) ในจังหวะที่เหมาะสม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี