วิกฤติไวรัสโควิด-19 โรคร้ายที่ระบาดไปทั่วโลกในปัจจุบันนั้นมีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ เช่น สุขภาพ เศรษฐกิจรวมถึง “การเคลื่อนย้ายของผู้คน” โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) จัดเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ข้าม (ไม่ข้าม) และการเชื่อมต่อในโลกที่เคลื่อนย้าย” ซึ่งหนึ่งในวิทยากรคือ ผศ.ดร.ประเสริฐ แรงกล้า อาจารย์สาขามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกเล่าเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
อาจารย์ประเสริฐ เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า “เชื้อโรคเดินทางเองไม่ได้ ต้องอาศัยมนุษย์ทั้งการเคลื่อนย้ายและการแพร่กระจาย” เช่น กรณีของไวรัสโควิด-19 นั้นติดเชื้อผ่านน้ำมูกและน้ำลาย ก่อนจะเกิดการระบาดในระดับเมือง ประเทศ ทวีปและโลก ดังนั้น การเดินทางของโรคระบาดจึงไม่ควรถูกมองเฉพาะในมุมการแพทย์ เพราะการเดินทางของไวรัสหรือเชื้อโรค มาจากองค์ประกอบที่หลากหลาย
เช่น หากเชื่อว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤติไวรัสโควิด-19 มาจากค้างคาวที่ตลาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จุดแรกก็คือมนุษย์กับค้างคาว ต่อมาเมื่อรัฐบาลจีนเริ่มมาตรการปิดเมืองควบคุมโรค ก็มีความพยายามเดินทางออกจากอู่ฮั่นไปที่เมืองอื่นๆ ของจีน รวมถึงไปต่างประเทศ ซึ่งก็มีส่วนหนึ่งเดินทางมาประเทศไทย ทำให้ไทยพบผู้ติดเชื้อรายแรกในเมืองหลวงคือ กรุงเทพฯ ดังนั้น สถานการณ์โรคระบาดในระดับโลก (Pandemic) จึงน่าสนใจว่า การเดินทางที่นำพาเชื้อโรคไปด้วย เช่น ไปไกลถึงทวีปยุโรป อาทิ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เกิดขึ้นได้อย่างไร
“มีคลิปของ CNN (สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกา) ที่มีปาร์ตี้ในฟลอริดา มันกลายเป็นที่แพร่ระบาดเชื้อออกไปของนักท่องเที่ยวที่มาปาร์ตี้อย่างไร ทำให้ผมนึกถึงเวลาเราพูดถึงคลัสเตอร์ (Cluster-จุดที่นำไปสู่การระบาดใหญ่) ในกรุงเทพฯ คลัสเตอร์บ่อน คลัสเตอร์ไก่ชน คลัสเตอร์ไนท์คลับ อะไรอย่างนี้ มันก็น่าสนใจมากที่เราจะ Map (ทำแผนที่) อะไรพวกนี้ออกมา” อาจารย์ประเสริฐ ยกตัวอย่าง
อาจารย์ประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมามนุษย์มีการเคลื่อนย้ายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยคนแต่ละคนจะมีแผนการเดินทางในแต่ละวัน เช่น ออกจากบ้านตอนเช้าพาลูกไปส่งที่โรงเรียนก่อนที่จะไปทำงาน หรือทำงานจนถึงเวลาเท่านั้นเท่านี้แล้วจะเดินทางไปที่ใดต่อ กระทั่งเมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาด การเดินทางของมนุษย์ก็เผชิญกับความแปรปรวนอย่างมาก หรือบางคนอาจจะเรียกว่าเป็นการสะดุดอย่างน่าตกใจของการเดินทาง (Shock Mobility) ทำให้มนุษย์รู้สึกถึงปัญหาหรือเกิดคำถามต่างๆ นานา ตามมาทันที
ทั้งนี้ “คนแต่ละคนมีความสามารถในการรับมือวิกฤติไวรัสโควิด-19 แตกต่างกัน” กล่าวคือ 1.ในสังคมยังมีผู้คนที่ทำงานในอาชีพที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาการเคลื่อนย้าย เช่น ขับแท็กซี่ ขับรถส่งอาหาร หรือขายอาหารริมทางที่มีพนักงานออฟฟิศเป็นลูกค้า ซึ่งมีคนที่ประกอบอาชีพทำนองนี้จำนวนมาก คนเหล่านี้อยู่ได้ด้วยการพึ่งพาการเคลื่อนย้ายของบุคคลอื่น เช่น มีคนขายโรตีย่านท่าพระจันทร์ (ที่ตั้งของ ม.ธรรมศาสตร์) บ่นว่าเมื่อไรนักศึกษาจะกลับมาเรียน? เพราะเมื่อไม่มีนักศึกษาก็ขายโรตีได้น้อยลง เป็นต้น
ในทางกลับกัน ท่ามกลางยุคสมัยอันเฟื่องฟูของธุรกิจส่งอาหาร คำถามที่ตามมาคือแล้วคนเหล่านี้ต้องเจอกับอะไรบ้าง? ซึ่งก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์อาชีพนี้ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Gig Economy (กลุ่มอาชีพที่ทำงานด้วยการรับงานจากผู้ให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ) ว่าเป็นงานที่ไม่มั่นคงหรือไม่มีหลักประกัน หรือแม้กระทั่งมองว่าเป็นการขูดรีดแรงงานแบบหนึ่ง จึงหมายความว่า เศรษฐกิจที่เติบโตไม่ใช่จะมีแต่ด้านบวกเสมอไป
2.ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถอยู่บ้านไม่ออกไปไหนได้ที่ผ่านมามีการรณรงค์ให้ผู้คนอยู่บ้านเพื่อตัดวงจรการระบาดของโรค ก็มีการพูดกันว่า “การอยู่บ้านเป็นเรื่องของอภิสิทธิ์ชนหรือคนร่ำรวย (Privilege หรือ Luxury)” เช่นมีบ้านที่น่าอยู่พอที่จะทำให้ไม่อยากออกไปไหน หรือการเรียนออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนทำได้ ดังที่มีข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่ามีนักศึกษาฆ่าตัวตายเพราะเกิดความเครียดจากการเรียนออนไลน์ เรื่องนี้รัฐต้องเข้ามาดูแลและไม่อาจคิดว่าลำพังการมีเทคโนโลยีเอื้ออำนวยก็เพียงพอแล้ว
“สำหรับบางคนอาจจะมีบ้านหลังที่ 2 ที่ 3 ในยุโรป ในอิตาลี คนหนีจากมิลานลงมาทางใต้ ในกรุงเทพฯ เมื่อมีการระบาดรอบ 2 ติดกับสมุทรสาคร มีคนเอาลูกกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเยอะมาก คนเหล่านี้คือคนมีเงิน แล้วถามว่าตาสี-ตาสาคุณจะเอาตัวเองไปไว้ที่ไหนถ้าคุณไม่อยากอยู่ใกล้แหล่งที่มีโรคระบาด มันมีความไม่ง่ายของการบอกว่าให้อยู่เฉยๆ การอยู่เฉยๆ ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้ ดังนั้น Immobility (การไม่เคลื่อนย้าย) การไม่ทำอะไรไม่ควรเป็นโจทย์ที่ทึกทักเอาว่าใครๆ ก็ทำได้ หรือไม่เป็นปัญหาอะไร” อาจารย์ประเสริฐ กล่าว
อีกประเด็นหนึ่งที่นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาผู้นี้ตั้งข้อสังเกต คือ “สถานการณ์โรคระบาดกับการดำรงอยู่ของชาวต่างชาติในประเทศ” เช่น การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ในประเทศไทยที่เชื่อมโยงกับแรงงานชาวเมียนมาในจ.สมุทรสาคร ซึ่ง “หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์โลก ชาวต่างชาติมักถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้นำพาโรคระบาดอยู่เสมอ” เช่น สหรัฐอเมริกา เคยมีการโยงเรื่องการระบาดของโรคเอดส์ (HIV/AIDS) กับชาวเฮติ
แต่การมองปัญหาโรคระบาดกับชาวต่างชาติก็ไม่อาจมองได้เพียงมุมเดียว เช่น กรณีของไทยที่รัฐบาลมองว่ามีขบวนการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศ แต่ในความเป็นจริง มีแรงงานต่างด้าวส่วนหนึ่งที่เข้ามาทำงานในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อกลับบ้านไปเกิดแล้วฝั่งไทยปิดพรมแดนพอดี และรัฐไม่มีกลไกให้แรงงานนำเอกสารมาพิสูจน์ยืนยันตัวตนรวมถึงเข้ากระบวนการกักตัว 14 วันในราคาที่พอจ่ายได้ ทำให้แรงงานกลุ่มนี้ต้องหันไปพึ่งขบวนการลักลอบนำพาข้ามแดนกลับเข้ามา ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่รัฐฝั่งไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง
อนึ่ง การเคลื่อนย้ายผู้คนกับโรคระบาดยังถูกมองแตกต่างกัน ในขณะที่ฝ่ายขวากล่าวโทษการเดินทางของชาวต่างชาติ เช่น เชื่อมโยงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่างๆ กับการเดินทางของชาวจีน ฝ่ายซ้ายจะบอกว่าโรคระบาดนี้เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์เข้าไปรุกรานธรรมชาติบ้าง หรือบอกว่าระบบทุนนิยมที่มีความเป็นโลกาภิวัตน์ไร้พรมแดนโดยมีเมืองอู่ฮั่นเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมได้นำพาโรคระบาดไปยังพื้นที่อื่นๆ บ้าง
“ประเด็นสุดท้ายที่เราต้องมาประเมินการเคลื่อนย้ายโควิด-19 ทำให้เราต้องกลับมาคิดว่า เราต้องจินตนาการถึงโลกยุคหลัง Post-Pandemic คือหลังการระบาดว่ามันจะเป็นอย่างไร บางประเทศก็อาจจะมีกระแสที่พูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ทำอะไร แต่บางประเทศก็อาจเริ่มมีอะไรบางอย่าง เช่น การกลับมานิยมจักรยานในอินเดีย หรือการพูดว่าเศรษฐกิจเราพึ่งพาการท่องเที่ยวมากเกินไป แล้วมันจะต้องทำอย่างไร? ฉะนั้นในทางหนึ่ง โรคระบาดก็เป็นตัวชักชวนให้เรากลับมาประเมินการเดินทางหรือการเคลื่อนย้ายมันควรจะเป็นอย่างไร” อาจารย์ประเสริฐ กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี