ช่วงนี้ ได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับเพื่อนชาวต่างประเทศและเพื่อนชาวไทยด้วยกันบ่อยครั้ง ด้วยความห่วงใยต่อประเทศไทย ในวงสนทนาผมจึงมักจะถามความเห็นท่านผู้ทรงคุณวุฒิ และมิตรชาวต่างประเทศเหล่านั้นเสมอๆ ว่า ในมุมมองและสายตาของท่าน มีความเห็นต่อความเจริญก้าวหน้าและความด้อยพัฒนาของไทยอย่างไรบ้าง เหตุที่ถามเช่นนี้ เพราะอยากทราบความคิดเห็นและมุมมองของท่านทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อสอบทานกับความคิดเห็นของตน ว่ามีความคิดเห็นเป็นกังวลต่อบ้านเมืองในทำนองเดียวกันหรือไม่ หรือเป็นตัวเราเองที่มองเมืองไทยในแง่ร้ายแต่เพียงลำพัง ด้วยเห็นว่าบทสนทนาและความคิดเห็นเหล่านั้น น่าจะมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง จึงขอนำบทสรุปที่ได้รับมาเล่าสู่กันฟังครับ
สิ่งที่คนบ้านอื่นเมืองอื่นเขามองเรา แม้จะเป็นเรื่องที่เราเห็นจนคุ้นชินตา แต่เมื่อพิจารณาให้ดีๆ แล้ว จะมีความสำคัญต่อการพัฒนาบ้านเมืองแบบที่เจ้าของประเทศฟังแล้วต้องคิดทบทวน หันกลับมามองและปรับปรุงตนเอง หากเราจะสร้างชาติให้พ้นกับดักรายได้ปานกลาง ก้าวสู่ชาติที่พัฒนาเทียบเคียงกับประเทศชั้นนำของโลก แม้ว่าประเทศไทยจะเจริญและพัฒนาก้าวหน้าไปมากในหลายๆ ด้าน เป็นประเทศที่เจริญกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แต่วันนี้ขอเอาเฉพาะเรื่องที่เขามองไทยว่าด้อยพัฒนามาบอกเล่าสู่กันฟังเท่านั้น โดยมิได้พูดถึงด้านที่ได้รับความชมเชย ทั้งนี้ก็เพื่อการปรับปรุงแก้ไขสู่สิ่งที่ดีกว่า มากกว่าพึงพอใจแต่คำชมเชย
1. คนบ้านเมืองอื่นเขามองว่า คนไทยนั้นยังงมงาย เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในหลงใหลกับไสยศาสตร์มากกว่าความเป็นวิทยาศาสตร์มาก คนไทยมองว่าทุกสิ่งกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากมีคนเฮละโลไปกราบไหว้ก็จะแห่ไปตามกัน ไม่ว่าจอมปลวก ต้นกล้วย ควายออกลูกหน้าตาแปลกๆ จนกระทั่งมีการล้อเลียนคนไทยว่า“เมืองไทยอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์หมด ยกเว้นกฎหมาย” ซึ่งประเทศที่เจริญประชาชนจะมีวินัย เคารพกฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ เคร่งครัดต่อระเบียบและกฎหมายไม่ทำตนอยู่เหนือประชาชน
2.คนไทยจำนวนมากยังหมกมุ่นอยู่กับการเล่นหวยและการพนัน หวังรวยแบบฟลุกๆ มากกว่าการขยันทำมาหากินและประหยัดอดออม นอกจากเล่นหวยสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้ว ยังมีหวยหุ้นทั้งตลาดดาวโจนส์ ตลาดหุ้นจีน เวียดนามและอื่นๆ การพนันฟุตบอล รวมถึงเข้าบ่อนการพนัน และการพนันออนไลน์ เข้าถึงทุกคนทุกครอบครัวไม่เว้นเด็กเยาวชน ซึ่งล้วนทำลายพลังสร้างสรรค์
3.คนไทยอ่านหนังสือค้นคว้าหาความรู้น้อยโดยเฉลี่ย เสพแต่ข่าวอาชญากรรมที่โหดร้าย สื่อนำเสนอแต่ข่าวผัวเมียตีกัน ครูข่มขืนล่อลวงเด็ก แม่บ้านก็ติดละครน้ำเน่า และการบันเทิงที่ไม่ประเทืองปัญญา เด็กเยาวชนพลอยถูกมอมเมาจากสิ่งล้าหลังและอันตรายจากยาเสพติด
4.เมืองไทยยังขาดแคลนนักการเมือง และผู้นำประเทศ ที่มีคุณภาพและมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ สร้างชาติระบอบการเมืองยังไม่อาจส่งเสริมต่อการพัฒนาได้เต็มศักยภาพ ทั้งๆ เป็นประเทศที่มีทำเลที่ตั้งดีในทางภูมิรัฐศาสตร์ มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีคนไทยที่เก่งและมีคุณภาพพร้อมในทุกๆ ด้าน แต่กลับสมองไหลหนีไปทำงานรับจ้างต่างชาติ เพราะไม่มีเวทีในไทยส่งเสริมให้ทุ่มเททำงาน
5.ระบบราชการและการเมือง ยังมีการทุจริตประพฤติมิชอบจำนวนมาก โดยดูจากข้อมูลคดีเรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่อยู่ในการติดตามตรวจสอบและดำเนินคดีของ ป.ป.ช.และศาลอาญาคดีทุจริตฯ เป็นดัชนีบ่งชี้ว่า ปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ ยังเป็นมะเร็งร้ายเกาะกินสังคมไทย และความเจริญก้าวหน้าของข้าราชการ ต้องใช้วิธีการวิ่งเต้น มิได้เป็นไปโดยระบบคุณธรรมความสามารถ เป็นปัญหาที่เหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง
6.ระบบการประมูลงานโครงการใหญ่ๆ มูลค่าหลายหมื่นล้าน หรือการให้อนุญาต สัมปทานบัตรต่างๆ มีความไม่โปร่งใส หลายโครงการส่อไปในทางไม่สุจริต มีการต่อสัญญาไม่ชอบ ล้มเลิกประมูล แก้ทีโออาร์ ประมูลใหม่แบบมีพิรุธ รัฐมักเสียค่าโง่แก่เอกชน จนเป็นที่ครหา มีให้เห็นบ่อยๆ ทำลายมาตรฐานและความเชื่อถือในสายตาชาวโลก
7.การเมืองภาคประชาชนอ่อนแอลง จากอดีตที่พลังประชาชนและพลังฝ่ายประชาธิปไตยเคยเข้มแข็ง กลับอ่อนแอลง พลังของคนรุ่นใหม่ที่อ้างว่าจะขึ้นมานำการเปลี่ยนแปลง กลับกลายเป็นพลังที่ด้อยคุณภาพ ขาดเนื้อหาสาระในการเคลื่อนไหวตรวจสอบที่มีพลัง ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน กลายเป็นการชุมนุมของม็อบต่ออายุให้รัฐบาลทหาร มากกว่าที่จะเป็นพลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า กลุ่มแกนนำไม่มีความรู้ความสามารถในการนำ และไม่มีเกียรติประวัติหรือบารมีความน่าเชื่อถือรูปแบบการเคลื่อนไหวไม่มีความชอบธรรม ก่อแต่เหตุความรุนแรง ปราศรัยหยาบคายไร้ข้อมูล และละเมิดกฎหมาย จนต้องคดีนับไม่ถ้วน การชุมนุมขาดแนวร่วมสนับสนุน จึงมิอาจเป็นความหวังประชาชนสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า
8.ประเทศไทยยังขาดการทุ่มเทลงทุนพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ด้านนวัตกรรม วิจัยและพัฒนา อย่างจริงจัง เป็นประเทศผู้ซื้อและบริโภคด้านเทคโนโลยีต่างๆ มากกว่าการเป็นประเทศผู้ประดิษฐ์ คิดค้นและพัฒนา ที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง หรือเพื่อการพาณิชย์ ทั้งที่ไทยมีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งๆ จำนวนมาก รัฐบาลไทยยังมิได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาค้นคว้า วิจัยและพัฒนา เช่น ประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสพัฒนาศักยภาพของประเทศ ให้ก้าวทัดเทียมอารยประเทศ
ที่เล่าและเขียนมาดังกล่าว เป็นเสียงสะท้อนที่เป็นมุมมองของคนไทยและชาวต่างประเทศ ที่มาจากวงสนทนาของคนที่รักและห่วงใยประเทศ มุมคิดมุมมองของบุคคลต่างๆ เหล่านี้ที่มองไทย โดยส่วนใหญ่ผู้เขียนเห็นพ้องด้วยครับ เพราะปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญแห่งความด้อยพัฒนาของสังคมไทย ประเทศโดยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้บริหารประเทศมาโดยต่อเนื่องเกือบครบ 7 ปีแล้ว เป้าหมายใหญ่ที่รัฐบาลนี้ชูขึ้นสูงเด่นคือ ประเทศไทยยุค 4.0 ก้าวสู่สังคมดิจิทัลทันกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และประกาศจะนำพาประเทศไทยให้ก้าวพ้นประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลางนั่นหมายถึงว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยของเราจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนานั่นเอง ปัญหาว่า ประเทศไทยจะก้าวสู่จุดหมายนั้นได้อย่างไร ถ้าหากความด้อยพัฒนาของประเทศและศักยภาพของคน ยังเป็นดังที่กล่าวมาข้างต้น คงยากที่ไทยจะก้าวไปถึงเป้าหมายนั้นได้ คำถามดังๆที่รัฐบาลต้องตอบคือ ท่านได้ทำอะไรเพื่อขจัดความด้อยพัฒนาเหล่านั้นหรือยังครับ ก่อนที่จะวาดฝันในอากาศให้เป็นจริง
ประพันธุ์ คูณมี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี