เมื่อพูดถึงนายอำเภอ เด็กๆ มักจะมองภาพชายขี่ม้า ยิงปืน เหมือนนายอำเภอในหนังกลางแปลง
ตำแหน่งนายอำเภอมีมาช้านาน นับแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ในปี ๒๔๓๕ ที่เรียกว่าระบบเทศาภิบาล แบ่งการบริหารราชการเป็นอำเภอตำบล หมู่บ้าน ต่อมาได้ตราพ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ร.ศ.๑๑๖ (พ.ศ.๒๔๔๐) จัดตั้งกรมการอำเภอ มี “นายอำเภอคน ๑ ถือศักดินา ๖๐๐ ไร่ เป็นผู้บังคับรับผิดชอบในราชการบรรดามีในอำเภอทั่วไป”
วิธีเลือกนายอำเภอปรากฏตามราชกิจจานุเบกษาดังนี้
มาตรา ๓๕ การที่จะเลือกแลตั้งตำแหน่งนายอำเภอนั้น ให้ผู้ว่าราชการเมือง เลือกสรรชายผู้ทรงคุณวุฒิอันสมควร…
อำนาจหน้าที่นายอำเภอสมัยก่อนเป็นการปราบปรามโจรผู้ร้าย การรักษาความสงบเรียบร้อยต่างพระเนตรพระกรรณ ปัจจุบันอำนาจหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ยังคงหน้าที่หลักในการบำบัดทุกข์ และบำรุงสุขแก่ราษฎร
การขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง กว่าจะสอบผ่านเข้าโรงเรียนนายอำเภอได้ก็เกือบเป็นเรื่องเหลือเชื่อ จึงเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของข้าราชการมหาดไทย
แต่การจะเป็นนายอำเภอที่ดี ที่เป็นที่ขวัญใจประชาชนนั้น ยิ่งยากเย็นเสียกว่า
นายอำเภอที่ดีที่สุดของมหาดไทยคนหนึ่งชื่อ ชัยรัตน์ เสถียร จบจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นสิงห์ดำรุ่น ๑๖ ขึ้นเป็นนายอำเภอครั้งแรกที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส ในปี ๒๕๒๗ อำเภอเล็กๆ ที่ราษฎรเป็นไทยมุสลิมเกือบทั้งหมด
งานแรกและสำคัญสูงสุดที่นายอำเภอชัยรัตน์ได้รับมอบหมายจากท่านรองราชเลขาธิการพระราชวัง ภาวาส บุนนาค คือให้แก้ปัญหาโรงเรียนร่มเกล้าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯให้สร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในปี ๒๕๑๗
โรงเรียนมีการสอนตั้งแต่ชั้นมัธยม ๑ ถึงมัธยม ๓ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้เด็กในชุมชนนั้นมีโรงเรียนใกล้บ้าน
ในปีนั้นมีเด็กนักเรียน ๑๐๐ คน เป็นไทยมุสลิม ๙๕ คน เป็นไทยพุทธเพียง ๕ คน
แต่มีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกมาหลายปี คือโรงเรียนตั้งอยู่บนเนินเขาบูเกะปาลัส ขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ การเดินทางไป-กลับของนักเรียนไม่สะดวก ไม่มีรถประจำทาง ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ที่เป็นบุตรข้าราชการ พ่อค้านิยมไปเรียนในตัวจังหวัด
คืนนั้นนายอำเภอใหม่นอนไม่หลับด้วยกังวลถึงการหาหนทางแก้ปัญหา ภารกิจยิ่งใหญ่แรกที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งนายอำเภอชัยรัตน์ ตั้งปณิธานจะต้องสนองคุณแผ่นดินถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้จงได้ ที่สุดก่อนรุ่งแจ้งความคิดพุ่งโพลงขึ้น “เราจะต้องแก้ที่ตัวของเราก่อน”
ด้วยการย้ายลูกชายสองคน ชั้นป.๑ และป.๓ ที่เดิมให้ไปเรียนในตัวจังหวัดมาเรียนที่โรงเรียนร่มเกล้าเป็นตัวอย่างเสียก่อน กับทั้งให้ภริยาย้ายจากโรงเรียนประจำจังหวัดมาสอนที่ร่มเกล้าด้วย ภริยานายอำเภอ ไม่มีจะปริปากบ่นที่ต้องมาตกระกำลำบากสอนในโรงเรียนทุรกันดาร
สามคนแม่ลูกต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่แม่ขี่จักรยานยนต์แสนยากเข็ญในหน้าฝนที่มักลื่นล้มไถลบนทางลาดชัน ลูกสองคนเดินแยกไปโรงเรียนประถมบ้านยี่งอ ข้างที่ว่าการอำเภอ
ต่อมาลูกคนเล็กเกิดปัญหามีไข้ขึ้นสูงทุกเช้าวันไปโรงเรียน คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นเพราะเป็นเด็กไทยเพียงคนเดียวในชั้น ไม่สามารถสื่อสารกับใครในชั้นที่พูดแต่ภาษายาวี หรือมลายูท้องถิ่นได้ กว่าเด็กชายจะผ่านพ้นโรคนี้ไปได้กินเวลาหนึ่งปีเมื่อขึ้นป.๒ เมื่อเริ่มเรียนรู้ภาษายาวี
นี่คือต้นทุนครอบครัว ที่นายอำเภอคนหนึ่งเสียสละนำมาลงทุนให้กับการงานอันยิ่งใหญ่ของเขายอมให้ภริยาที่จะได้สอนในโรงเรียนประจำจังหวัดที่สะดวกเพียบพร้อม และบุตรตัวน้อยมาเรียนในโรงเรียนร่มเกล้าเพื่อเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการ พ่อค้านำบุตรหลานมาเข้าเรียนแทนไปเรียนในตัวจังหวัด
ช่างเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร
ขณะเดียวกัน นายอำเภอยี่งอคนใหม่มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะพัฒนาอำเภออย่างเต็มความสามารถให้สมกับการได้เป็นนายอำเภอในฝัน และปณิธานอันแน่วแน่ที่จะสนองคุณแผ่นดินใต้เบื้องยุคลบาท ความที่พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานมาทุกปียิ่งทำให้เขาซึมซับในพระราชกรณียกิจ และเป็นแบบอย่างในการทำงานเพื่อประชาชน
การแก้ปัญหาโรงเรียนร่มเกล้าได้เป็นไปอย่างแข็งขัน จากการประชุมผู้เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปว่าปัญหาเกิดจากการที่นักเรียนส่วนใหญ่ยากจน การเดินทางไม่สะดวก จึงควรให้เป็นโรงเรียนประจำโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่จะหาทุนรอนได้จากที่ไหน
ที่สุดนายอำเภอได้ระดมความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งข้าราชการ ประชาชน ปรับปรุงจนเป็นโรงเรียนประจำได้ นักเรียนประจำรุ่นแรกมี ๒๕ คนงานแก้ปัญหาโรงเรียนร่มเกล้า จึงได้ดำเนินไปด้วยดีตามลำดับ
งานพัฒนาอำเภอยี่งอที่ยากจนเป็นอีกงานหลักที่เขามุ่งมั่น เมื่อนายอำเภอทราบว่านายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ได้เปลี่ยนป้ายชื่อถนนทั้งหมด เขาจึงขอป้ายเก่านั้นเพื่อนำมาปรับปรุงเป็นชื่อถนนของอำเภอยี่งอ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ
เช้าวันหนึ่งนายอำเภอออกเดินทางเพื่อจะไปรับป้ายถนนที่เทศบาลนครหาดใหญ่ตามแผน โดยรถยนต์อำเภอกับปลัดอำเภอ พอย่างเข้าเขตตำบลกะลาพอ อำเภอสายบุรี ทันใดรถเกิดพุ่งเข้าชนท้ายรถแท็กซี่ที่ห้ามล้อกะทันหันกระจกรถหน้าแตกกระจายพุ่งเข้าใบหน้าและดวงตานายอำเภอ เลือดชุ่มไปทั้งหน้า ตาเขายังพอมองเห็นได้รางๆ ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในชีวิตนายอำภอครั้งแรก
นี่คือจุดเปลี่ยนใหญ่หลวงในชีวิตของเขา
เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ โชคดีได้จักษุแพทย์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของประเทศ คือ นายแพทย์วิสูตร ฉายากุล ซึ่งวินิจฉัยว่า มีเศษกระจกฝังอยู่ในตาทั้งสองข้าง
ตาข้างซ้ายเลนส์หลุดกระเด็นไป ตาข้างขวาเลนส์ขุ่นมัว จะต้องผ่าตัดหลายครั้ง
ตลอดเจ็ดสิบห้าวันที่พำนักรักษาอยู่ เขาได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไรหนอที่ดวงตาจะได้พบกับแสงสว่าง เมื่อไรจะได้เห็นใบหน้าบุตรและภริยาที่คอยปรนนิบัติโดยมิรู้เหน็ดเหนื่อยประหนึ่งเป็นนางแก้ว
ชาวบ้านยี่งอ พากันมาเยี่ยมนายอำเภอของเขาล้นหลาม ต่างเดินขึ้นบันไดไปชั้นที่หกเพราะไม่กล้าขึ้นลิฟต์ บางคนถึงกับถอดรองเท้าด้วย แถมยังกลับไปทำพิธีสวดดูอาร์ขอพรให้อีก เป็นที่โจษจันไปทั้งอำเภอ ข้าราชการอำเภอ จังหวัด นราธิวาสตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มาเยี่ยมเยียนเขาไม่ขาดสาย จนผู้ว่าราชการจังหวัด นายธวัชชัยสมสมาน ต้องให้แขวนป้าย “ห้ามเยี่ยม”จัดสมุดเยี่ยมแทนการเข้าเยี่ยม เพราะเห็นว่าจะทำให้คนไข้ไม่มีเวลาพักผ่อน
วันหนึ่ง นายเจริญจิตต์ ณ สงขลา รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้เข้ามาเยี่ยม เมื่อท่านกลับไปสักพักท่านเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง เข้ามาตบบ่าเขาแล้วเอ่ยว่า “ชัยรัตน์ไม่ต้องห่วงนะ ลูกทั้งสองพี่รับผิดชอบเอง”
ฉับพลันนั้นเขาสังหรณ์ได้ทันทีว่า ดวงตาทั้งสองข้างของเขาคงจะมองไม่เห็นตลอดไป
นับแต่วันเกิดเหตุ เขาต้องทิ้งลูกชายทั้งสองไว้ที่บ้านพักนายอำเภอโดยฝากให้ปลัดอำเภอและตายายดูแล ลูกเขียนจดหมายถึงเขาว่า เห็นแม่บอกว่าพ่อมองไม่เห็น ลูกจึงฝากกล่องดนตรีมาให้
“พ่อไม่ต้องใช้ตาดู ให้ไขลานฟังนะครับ” บางครั้งฝากการฝีมือมาให้ดู นับเป็นการจากกันของพ่อแม่ลูกที่ยาวนานที่สุด
ทันทีที่แพทย์แจ้งว่าดวงตาของเขาอาจจะบอดทั้งสองข้าง มีบุคคลสองคนแสดงความจำนงที่จะสละดวงตาให้เขาข้างหนึ่งคือ ภรรยาและอีกคนคือตำรวจจราจรอำเภอยี่งอ
แต่หมอไม่อาจจะกระทำดังนั้นได้
การรักษาด้วยการผ่าตัดหลายครั้งหลายหนราวกับว่าเป็นบาดแผลธรรมดา พักฟื้น และรอคอยดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า
และแล้วก็ราวกับเกิดปาฏิหาริย์ ดวงตาของเขาค่อยๆ มองเห็นขึ้นอย่างเลือนราง ดีขึ้นเป็นลำดับ ปาฏิหาริย์นี้ นายอำเภอชัยรัตน์เชื่อว่าเกิดจาก
หนึ่ง ได้ทีมแพทย์ของสงขลานครินทร์ ที่ฝีมือดีที่สุดของประเทศ
สอง พิธีกรรมและแรงศรัทธาที่พี่น้องทั้งไทยมุสลิม ไทยพุทธชาวยี่งอ มีต่อเขา
สาม ภริยาที่ประดุจนางแก้วผู้ปรนนิบัติเขาทุกความเคลื่อนไหว
และสี่ เดชะพระบารมี บุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นายอำเภอชัยรัตน์กลับเข้าทำงานอำเภออีกครั้ง แม้ดวงตายังอยู่ระหว่างการปรับตัว
วันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาที่ตำบลลุโบะบายะ สารวัตรกำนันช่วยพยุงเขาขึ้นไปบนเนินเขา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำลังรับฟังรายงานจากข้าราชการกรมชลประทาน
เมื่อถึงคราวนายอำเภอชัยรัตน์ ผู้ยังมีนัยน์ตาหม่นมัว รายงานจบ พระองค์ทอดพระเนตรใบหน้าเขาอย่างพินิจ แล้วตรัสว่า
“เหมือนเรา”
ภักดิ์ รตนผล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี