“เราชนะ” เป็นโครงการที่รัฐบาลจัดงบประมาณเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ (หรือระลอก 2) ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องสั่งปิดกิจการต่างๆ เพื่อสกัดไม่ให้โรคระบาดเป็นวงกว้าง โดยเปิดให้ผู้ประกอบการรายย่อยผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 และไม่ใช่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลงทะเบียนรับความช่วยเหลือเป็นเงิน 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน
แม้จะเป็นมาตรการเยียวยา แต่สิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากคือ “ไม่จ่ายเป็นเงินสด” โดยสำหรับผู้ที่ไม่ได้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ใช่ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-12 ก.พ. 2564 เพื่อใช้บริการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ส่วนผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน สามารถลงทะเบียนได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15 ก.พ.-5 มี.ค. 2564
นั่นทำให้เกิดภาพ “โกลาหล”ช่วงสัปดาห์แรกของการลงทะเบียนของกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ธนาคารกรุงไทยแทบทุกสาขาเต็มไปด้วยประชาชนต่อคิวยาวเหยียดหลายรายเป็นพ่อแก่แม่เฒ่าเดินทางมาไกล บางกรณีเกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างพนักงานธนาคารที่เผชิญสภาวะกดดันจากจำนวนผู้ใช้บริการที่มากกว่าปกติและเป็นผู้สูงอายุที่อาจมีปัญหาเรื่องการได้ยินหรือมีท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ตามสังขารที่ร่วงโรย และล่าสุดที่เป็น “ดราม่า” คือกรณีของ กองบังคับการปราบปราม ออกมาเตือนผ่านเฟซบุ๊ค “กองปราบปราม”เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2564 ตอนหนึ่งระบุว่า
“..ผู้ที่จะได้รับสิทธิ์ตามโครงการ ต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ทำให้สิทธิ์ที่ท่านได้รับจากโครงการนั้นเป็นสิทธิ์จำเพาะบุคคล ไม่สามารถโอน แลกเปลี่ยนหรือมอบให้กับผู้อื่นได้ เช่นเดียวกับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทางกองปราบปราม จึงขอประชาสัมพันธ์ว่า สิทธิ์ตามโครงการเราชนะนั้นไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ทั้งนี้ผู้ที่รับซื้อสิทธิ์และผู้ที่ขายสิทธิ์ อาจมีความผิดฐานฉ้อโกง และหากเป็นการกระทำผิดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ก็อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ อีกด้วย..”
ซึ่งหลังจากทางกองปราบฯ ได้ออกมาเตือนเรื่องดังกล่าวมีประชาชนจำนวนมากเข้าไปแสดงความคิดเห็นในทำนอง “วอนตำรวจเห็นใจอย่าจับกุมประชาชน” เนื่องจากประชาชนแต่ละคนที่มีความจำเป็นในการใช้เงินไม่เหมือนกัน บางคนต้องนำไปใช้หนี้สินต่างๆ ที่ไม่ได้หยุดพักตามงานหรือกิจการที่ถูกสั่งหยุดดำเนินการ เช่น ค่าเช่าห้องค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ หรือบางคนต้องให้เงินลูกไปโรงเรียน ไปจนถึงการไม่ได้รับความสะดวกเพราะร้านค้าหรือแม้แต่ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะต่างๆ ทุกรายจะรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่น
ย้อนไปเมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 ก.พ. 2564 ซึ่งมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ณ รัฐสภา อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงสาเหตุที่โครงการเราชนะไม่จ่ายเป็นเงินสด ว่า 1.ต้องการลดการสัมผัสเงินสด 2.ต้องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์ม และ 3.ต้องการกระจายเม็ดเงินที่รัฐบาลจ่ายไปให้เกิดการกระจายในแต่ละสัปดาห์ เพื่อให้มีผลในเรื่องการจับจ่ายใช้สอย
อนึ่ง ผู้ประกอบอาชีพรายย่อยภาคการคมนาคมขนส่ง เช่น แท็กซี่ สามล้อเครื่อง มอเตอร์ไซค์รับจ้างจะสามารถเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ด้วย และจะได้สิทธิ์ถึง 2 ทางนอกจากเป็นผู้มีรายได้น้อยมีสิทธิ์ได้รับเงิน 3,500 บาท เป็นเวลา2 เดือนแล้ว หากมีผู้ที่ได้สิทธิ์เราชนะมาใช้บริการโดยจ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ผู้ให้บริการเองก็จะได้ค่าบริการมาเป็นรายได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากโครงการคนละครึ่งที่ผู้ประกอบอาชีพกลุ่มนี้เรียกร้องแต่ในเวลานั้นรัฐบาลมองว่ายังไม่จำเป็นและต้องการส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า
ส่วนปัญหาความแออัดของการลงทะเบียนโครงการเราชนะสำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนที่ธนาคารกรุงไทย ได้ประสานให้ธนาคารของรัฐอีก 2 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดจุดลงทะเบียนเพิ่มเติมเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.-5 มี.ค. 2564 นอกจากนี้ ในส่วนของธนาคารกรุงไทย ยังมีหน่วยเคลื่อนที่โดยความร่วมมือกับผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด ในการจัดสถานที่ลงทะเบียน เช่น ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ แล้วทางเจ้าหน้าที่ก็จะร่วมมือกันในส่วนการดูแลอำนวยความสะดวกกับประชาชน
“การใช้นั้นถามว่าเมื่อไม่มีมือถือสมาร์ทโฟนแล้วจะใช้อย่างไร ก็ใช้บัตรประชาชนนั่นละครับ ไปที่ร้านค้าที่มี EDC ที่เป็นตัวอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเสียบบัตรเข้าไปก็จะสามารถใช้ได้เพราะยืนยันตัวตน แต่สำหรับ
ที่ไม่มีเครื่องมือ EDC ตรงนี้ ก็ถ่ายรูปแล้วจะ Process (ประมวลผล) ผ่านตัวผู้ให้บริการหรือร้านค้าต่างๆ ก็จะ Process ข้อมูลตรงนี้แล้วก็ได้รับการยืนยันว่า OK คนนี้ใช่แน่ เป็นเจ้าของบัตรและเจ้าของสิทธิ์ ก็จะสามารถจ่ายเงินได้นะครับ อันนี้ก็จะแก้ปัญหาตรงนี้ไป” อาคม กล่าว
ด้านหนึ่ง “ในทางกฎหมายก็ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนสิทธิ์เป็นเงินสดมีความผิดจริง” ดังที่2 ทนายความชื่อดังอธิบายไว้ โดย เกิดผล แก้วเกิด กล่าวว่า ในความผิดฐานฉ้อโกงนั้น หากประชาชนนำเงินที่รัฐบาลจ่ายผ่านแอปพลิเคชั่นไปใช้นั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อมีการไปตกลงกับบุคคลอื่นว่าจะขอแลกเปลี่ยนสิทธิ์โดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์เป็นเงินส่วนต่าง ส่วนอีกฝ่ายได้เงินสดไปใช้
เช่น โครงการเราชนะได้เงิน3,500 บาท ร้านค้าขอส่วนต่าง 500 บาท ส่วนประชาชนเจ้าของสิทธิ์ได้เงินสดไป 3,000 บาท ลักษณะนี้ถือว่ามีเจตนาเอาเงินที่ตนเองไม่มีสิทธิ์โดยทุจริตไปจากหลวงหรือรัฐบาล จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง พร้อมกับยกกรณีทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกันที่มีการใช้สิทธิ์จองห้องพักโรงแรมแต่ไม่ได้มีการไปพักจริง มาเป็นตัวอย่าง
“เปิดจองห้องพัก โรงแรมจริงๆ มีแค่ 10 ห้อง แต่ไปเปิด12 ห้อง อย่างนี้ส่วนเกิน 2 ห้องถือว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงเพราะไม่ได้ใช้สิทธิ์จริงๆ เมื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์จริงๆ แต่สมรู้ร่วมคิดกันเพื่อทุจริต เบียดบังหรือหลอกลวงเอาเงินของหลวงไปเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ร้านค้าคือตัวฉ้อโกง ชาวบ้านก็จะมีความผิดตรงนี้ คือเป็นตัวการร่วมกับร้านค้าฉ้อโกง” ทนายเกิดผล กล่าว
เช่นเดียวกับ รณณรงค์แก้วเพ็ชร์ ที่กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโครงการคือต้องมีการซื้อ-ขายสินค้าเกิดขึ้นจริง แล้วรัฐบาลก็จะจ่ายเงินงบประมาณให้ หากไม่มีการซื้อ-ขายจริง แต่ไปแปรเปลี่ยนเป็นเงินสดย่อมถือว่าผิดวัตถุประสงค์ผู้ร่วมดำเนินการก็จะมีความผิดฐานฉ้อโกง นอกจากนี้ยังจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) เพราะเป็นการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เนื่องจากโครงการเราชนะมีการกรอกข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เนต
นอกจากนี้ จะมีความผิดฐานแจ้งความข้ออันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานด้วย เพราะต้องแจ้งเจ้าพนักงานของกระทรวงการคลังเพื่อทำการเบิกจ่ายงบประมาณ เท่ากับกระทำพฤติกรรมเดียวแต่มีความผิดตามกฎหมายหลายเรื่อง ซึ่งจะเป็นเรื่องตอนที่มีการจับกุมคดีทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ไม่มีการไปพักโรงแรมจริงแต่ไปเบิกเงินหลวงมา ดังนั้นโครงการเราชนะก็ไม่ต่างกัน
“เพียงแต่ว่าถ้าเกิดสมมุติว่าใครต้องการจะเบิกจ่ายเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินสดให้มันถูกกฎหมาย คุณก็ต้องไปซื้อของมาก่อน ซื้อของมาจริงๆ แล้วคุณก็เอาของตัวนั้นไปขาย นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ถ้าเกิดคุณ
ไม่เอาของเลย คุณเอาแต่เงินเลยอันนี้โดนจับแน่” ทนายรณณรงค์ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นกรณีความต้องการของประชาชนที่จะนำสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเราชนะไปแลกเป็นเงินสด แม้จะเสี่ยงกับการกระทำผิดกฎหมายทั้งผู้ให้และผู้รับ ว่า การที่รัฐบาลไม่จ่ายเยียวยาประชาชนเป็นเงินสดก่อให้เกิดปัญหา 1.มีบางส่วนเข้าไม่ถึงสิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน
2.เกิดภาวะคอขวดขึ้น เพราะปัจจุบันมีเพียงธนาคารกรุงไทยเพียงธนาคารเดียวที่ดำเนินการโครงการเราชนะส่งผลกระทบต่อคนทั่วไปที่ต้องเข้าไปใช้บริการอื่นๆ ของธนาคาร เพราะทางธนาคารต้องระดมเจ้าหน้าที่ไปให้บริการผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะก่อน แม้ปัจจุบันโครงการจะเปิดกว้างให้ผู้ค้าขายรายย่อยเข้าร่วมมือขึ้น แต่ก็ยากจะทำได้ทั่วถึง จึงควรกระจายให้มากกว่านี้
“ขณะเดียวกัน ทางเลือกที่จะให้เขาเป็นเงินสดก็น่าจะมีการพิจารณากันมากกว่า ทีนี้พอให้ไปเหมือนอยู่ในบัตร ก็กลายเป็นว่าคนที่เขาจะเอาบัตรไปใช้มันก็มีทางเลือก 2 ทาง คือเอาไปใช้จ่ายซื้อของ ทีนี้บางคนมันมีหนี้ มันมีเจ้าหนี้มาหายใจรดต้นคออยู่แล้วอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้เขาก็อาจต้องจำเป็นเอาไปใช้ชำระหนี้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวก็โดนหักแขนหักขา พวกนี้ผมว่าต้องมองเขาในเชิงเห็นอกเห็นใจ” ธีระชัย กล่าว
อดีต รมว.คลัง กล่าวต่อไปว่า ประเทศอื่นๆ เมื่อรัฐจ่ายเงินช่วยเหลือเช่น สหรัฐอเมริกา คนที่นำเงินไปใช้ทันทีก็มี แต่ก็มีคนที่ไม่ใช้เงินโดยนำไปฝากไว้ในธนาคารแต่ก็ไม่ได้บังคับให้เงินอยู่ในบัตรแล้วต้องนำบัตรไปใช้อย่างเดียว ประชาชนอาจเก็บเงินไว้ นำเงินไปใช้ชำระค่าเช่าบ้าน หรือไปจ่ายหนี้ต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่ก็ได้ ซึ่งแบบนี้จะยืดหยุ่นมากกว่า ส่วนนโยบายของไทย นอกจากจะขาดความยืดหยุ่นแล้ว การที่มีธนาคารกรุงไทยเพียงธนาคารเดียวรับดำเนินการ ด้านหนึ่งทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก อีกด้านยังไม่เป็นธรรมกับธนาคารอื่นด้วย
ทั้งนี้ “เงินที่ให้ควรให้กับคนที่เดือดร้อนมีความจำเป็นจริงๆ” เพราะต้องไม่ลืมว่าปัจจัยรัฐจัดเก็บรายได้ได้น้อยลง ดังนั้นเงินที่นำมาให้ประชาชนก็คือเงินที่กู้มาและจะกลายเป็นภาระ จึงไม่ควรให้เงินแบบมือเติบจนเกินไปอย่างไรก็ตาม “เมื่อตัดสินใจจะให้เงินใครแล้วก็ไม่ควรไปตั้งเงื่อนไขกำหนดการใช้เงิน” เพราะคนที่ได้รับคือคนที่จำเป็นต้องได้รับ หากไม่ได้ก็อาจไม่มีลมหายใจ การที่รัฐบาลตั้งเงื่อนไขว่าเมื่อรัฐควักกระเป๋าแล้วประชาชนต้องร่วมควักด้วย แล้วประชาชนที่ไม่มีเงินในกระเป๋าจะทำอย่างไร
“ผมย้ำนะว่าเป็นการใช้เงินกู้ และเป็นเงินกู้ที่ทั้งรุ่นเราและรุ่นลูกรุ่นหลานต้องเป็นคนหาเงินมาชำระหนี้ตรงนี้ เพราะฉะนั้นอย่าใช้แบบเว่อร์เกินไปอย่าไปเที่ยวแจกจนสนุกมือ แจกนี่ต้องแจกเฉพาะคนที่จะอยู่ไม่ได้อย่างนั้นถึงจะคุ้มที่จะใช้ตัวทรัพยากรโดยรวมของประเทศไปทำอย่างนั้นได้ การใช้เงินกู้ควรจะลงไปในจุดที่เพิ่มProductivity (ประสิทธิภาพการผลิต) เพิ่มแนวพัฒนาช่องทางทำมาหากินของประชาชน ไปให้เขาปรับตัว ไปให้เหมือนกับการหันทิศทางเรือของเขาไปในทางที่ถูกต้องมากกว่า” ธีระชัย กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี