พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือ หลวงพ่ออลงกต ติกฺขปัญฺโญ เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี เมตตาเทศนาธรรม หัวข้อ “ธรรมอันเป็นอริยทรัพย์” ที่ “บ้านลานเสียงธรรม” นาคนิวาส 40 ซอยลาดพร้าว 71 กรุงเทพมหานคร
เราจึงพูดคำว่า “กิเลสหนา” กิเลสหนา หลายคนกิเลสหนาก็จะกลายเป็นอุปนิสัย บุคลิกภาพ ที่แสดงตัวตนออกมา ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสสามอย่างสามตัวนี้ คือ ตัวการสำคัญ ตลอดเวลา และตลอดชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ระวัง ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเราหลงไปในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คือ สภาวะของบัญญัติทั้งหลาย โลกนี้เขาบัญญัติว่า “เงินมีค่า ทองมีราคา” พวกเราก็เชื่อ และรู้สึกอย่างนั้น เราก็พยายามหาเงินหาทองเอาไว้ จนที่สุดกว่าเราจะมารู้ความจริง ก็อายุมาแล้ว แก่แล้ว แต่ก็ยังดีที่เรารู้ได้ พอมีทางเห็นแสงสว่าง
ตรงจุดนี้ หลวงปู่ หลวงตา ทำภารกิจ หลวงพ่อฯอยากชี้ให้เห็น สิ่งที่พระพุทธองค์สอนพวกเรา ก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ก็คือ การที่เราได้รู้แจ้งเห็นจริง ในสรรพสิ่งทั้งหลายว่ามันเป็น “อนัตตา” อันนี้สำคัญ เพราะถ้าเราหลงว่ามันมีอัตตา หลงว่ามันเป็นอัตตา เราก็เข้าไปยึดติด ถือมั่น ครอบครอง ด้วยกิเลสความโลภ ก็จะทำให้เราดิ้นรน แสวงหามาครอบครองมากขึ้น เหมือนอย่างโยมที่ได้เล่าให้ฟัง แล้วโยมก็เอาเงินสองร้อยกว่าล้านไปไม่ได้ มีเงินมากมายแต่คนไปงานศพ ก็มีไม่มาก เพราะในชีวิตของเธอไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากนัก ขนาดพี่น้องก็ยังไม่ค่อยได้สมาคมกัน ทำให้งานศพที่หลวงพ่อฯไป ก็ทำให้รู้สึกได้ว่า เอ่อ.. ตระกูลเขาก็ร่ำรวย แต่คนไปงานศพไม่มาก เพราะเขาไม่ใช่บุคคลอันเป็นที่รักของคนอื่น การที่อยู่กับเงินทองและทรัพย์สมบัติเอาไว้ จนไม่มีเวลาที่จะเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ช่วยเหลือคนอื่น เรียกว่าไม่ได้เป็นผู้ให้ พระสงฆ์ สามเณรน้อยผ่านหน้าบ้าน ยังไม่ใส่บาตร เนี่ย! ญาติโยม เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
ทีนี้ หลายคนก็คงจะใส่บาตรทุกเช้า ทุกวัน จนเป็นอุปนิสัย ก็ขอย้อนกลับไปตรงจุดที่หลวงพ่อฯอยากจะอธิบายถึงสิ่งที่มีค่าเหล่านี้ว่า พระพุทธองค์ท่าน สอนเราให้ทำ 3 เรื่อง
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง (สัพพปาปสฺสอกรณํ) ก็คือ การไม่ทำบาป ทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา (กุสลสฺสูปสมฺปทา) การทำกุศลให้ถึงพร้อม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ สะจิตตะ ปะริโยนะทะปะนัง (สจิตฺตปริโยทปนํ) การทำจิตของตนให้ขาวรอบ อันนี้สำคัญที่สุดญาติโยม ญาติโยมถามตัวเองก่อน ว่าเราพยายามขัดเกลาจิตใจตนเองทุกวันไหม หรือ ถ้าจะถามให้หนักกว่านั้นก็คือว่า ทุกๆลมหายใจ ทุกๆเวลา ทุกๆนาที เราได้ขัดเกลาจิตใจตัวเองไหม ถ้าเราไม่ขัด ใจเราก็ไม่สะอาด ไม่สว่าง ไม่สงบ เพราะจิตใจเราเศร้าหมองด้วยกิเลส กิเลสที่มันเกิดขึ้นทุกวันๆ ญาติโยม กิเลสที่เกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง ที่เราได้ผัสสะ หรือเราได้รับจากความไม่ระวังญาติโยม พอเราไม่ระวัง มันเกิดกิเลส ตาเห็นรูป รูปสวย กิเลสเกิด จมูกได้กลิ่น กลิ่นหอม กิเลสเกิดอีกแล้ว เรามาทานอาหารอร่อย รสอร่อย กิเลสเกิดอีกแล้ว ญาติโยมเห็นไหม ถ้าเราดูกิเลส สะสมตลอดเวลา ทุกวันๆ ถ้าเราไม่ระวัง
สุดท้ายสำคัญตรงนี้ญาติโยม เมื่อเรารู้ ก็ขอให้เราตระหนักว่า หน้าที่ของเราจริงๆสูงสุดก็คือ ต้องขัดเกลากิเลส สะจิตตะปะริโยนะทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ เราเอาอะไรขัดญาติโยม ใช้อะไรขัด สติ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกเมื่อ เราจึงรู้แจ้งเห็นจริง ในสิ่งทั้งหลายว่า มันไม่มีตัวตนที่แท้จริง เราจึงไม่หลงญาติโยม เสียงก็สักว่าเป็นเสียง รูปก็สักว่าเป็นรูป ไม่มีรูปสวยรูปงาม ไม่มีเสียงไพเราะ เพราะทั้งรูปและเสียงก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เท่านั้นเอง
นี่คือ กฎสำคัญอย่างมากสำหรับชีวิตของพวกเรา ที่พระองค์ท่านสอน ประทานให้กับชีวิตของพวกเรา พวกเราก็เลยเป็นผู้โชคดี เมื่อเราไม่หลง ตาเห็นรูป ก็ปล่อยวาง หูได้ยินเสียง ก็ปล่อยวาง เห็นรูป รู้รูปไหม รู้ แต่ก็ไม่หลง ได้ยินเสียง รู้เสียงไหม รู้ แต่ก็ไม่หลง แต่ที่เราจะไม่หลงได้ เพราะอะไร เพราะว่าเรามีสตินั่นเองญาติโยม สติ รู้ตัวทั่วพร้อม รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งทั้งหลาย ก็ปล่อยวางไป แล้วก็ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน ไม่ต้องไปคิดต่อ ไม่ต้องไปเอามาเก็บในใจ เพราะถ้าลงเมื่อไหร่ก็ตาม หัวใจเราจะต้องมีภาระหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเป็นกิเลสที่จะเข้าไปสะสมอยู่ นี่แหละ ตัวท่านบางที เราอาจจะถูกบางว่า อู้ย! กิเลสหนา ก็เตือนตัวเอง มองให้เห็นตัวเอง แล้วก็ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ท่านสอน ถ้าเราไม่มีสติ ไม่รู้ตัวทั่วพร้อม ไม่รู้แจ้งเห็นจริง สิ่งที่เราจะไม่รู้อีกอย่าง ไม่รู้ว่าอะไรบุญ อะไรบาป แต่ถ้าเรามีสติ เราก็จะรู้ว่า อันนี้บุญ อันนี้บาป
อะไรเป็นบาป เราก็จะห้ามใจได้ นี่คือ กฎข้อแรก ที่พระพุทธองค์ท่านสอน การไม่ทำบาปทั้งปวง แต่ถ้าคนไม่รู้อะไร บาปบุญคุณโทษ มันก็ไม่สามารถที่จะห้ามตัวเองได้ ก็จะทำไปตามอำนาจของกิเลสที่ตัวเองมี ดังนี้ ญาติโยม ลูกก็ฆ่าพ่อได้ ภรรยาก็จ้างคนมาฆ่าสามีได้ สามีมีภรรยาอยู่แล้ว ก็ไปแต่งงานใหม่ได้ ทั้งที่ยังไม่หย่ากัน ข่าวนี้กำลังดังมาก หลวงพ่อก็นั่งนึก เออ นึกเห็นใจเขา นี่แหละ เพราะคนหลง ถูกกิเลสครอบงำ อำนาจของกิเลสญาติโยม เราทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำในสิ่งที่เดือดร้อนคนอื่น เดือดร้อนแก่ตนเองในภายหลัง พอมาเห็น ก็เห็นใจ เข้าใจ แต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังฟังอยู่ในขณะนี้ แต่ถ้าเราเข้าใจตามที่พระพุทธองค์ท่านสอน และ ปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ เรื่องพวกนี้ เราก็จะไม่เกิด และ พวกเราก็จะไม่หลงไปในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทั้งหลาย ก็จะมองเป็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริงมากขึ้นก็คือ มันเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ต้องไปสะสมเอาไว้
กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมอง เป็นนิวรณ์กางกั้น ไม่ให้เราบรรลุสภาวธรรมที่เป็นกุศลทั้งหลาย เห็นไหมญาติโยม นิวรณ์ นิวรณ์ห้า นี่คือ ศัตรูสำคัญ และ อุปสรรคสำคัญสุดในการปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก็ฟุ้งซ่าน นั่งสมาธิก็ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด เบื่อหน่าย ท้อแท้ ลังเล สงสัย สาดส่ายไป มันเกิดขึ้นที่สภาวะจิตถูกครอบงำ จนเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นจิต จึงต้องเป็นไปโดยอำนาจของกิเลส กิเลสก็เป็นเครื่องชักจูงบ้าง ผลักดันบ้างให้เราได้ทำในสิ่งที่เป็น “บาป”
หลวงพ่อฯจึงอยากจะฝาก อย่างที่พระพุทธองค์ท่านสอน ถ้าเราจับหลักง่ายๆ ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน กว่าเราจะจับได้ โดยเฉพาะเรื่องความเป็น “อนัตตา” ญาติโยมมองสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เอ่อ มันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตอนแรกๆอาจจะยากอยู่หน่อย หมั่นทำบ่อยๆก็ ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวาง อย่าไปยึดติดถือมั่นว่า มันมีอัตตาตัวตนที่แท้จริง เงินมีสองร้อยล้าน เอาไปให้เขา ไม่ได้ แต่บุญที่เราทำวันนี้ กับครูบาอาจารย์ฯ หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ได้ไหม มีแต่ของหยิบได้ เป็น “อริยทรัพย์” ติดตัวกันไป
ท้ายที่สุดก็สมควรแก่เวลาแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์ฯพระสงฆ์ก็ใกล้เสร็จภัตตกิจแล้ว หลวงพ่อฯก็ขอย้ำเตือน ญาติโยม อยากยิ้มให้หลวงพ่อฯก็ไปทำดู มองทุกอย่างให้รู้เท่าทันว่า มันไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง เพราะทุกวันนี้คนมีอำนาจมาก มีทิฐิมาก มีมานะมาก แล้วญาติโยมอย่าไปดูถ่ายทอดสภาฯล่ะ เดี๋ยวติดนิสัยของนักการเมืองมา บางคนนี่หลวงพ่อฯดูยังงงๆเลยเป็น ส.ส.ได้ยังไง ก็เขามาส่งเรื่องให้หลวงพ่อฯดู พูดแบบนี้เป็นยังไง หลวงพ่อฯก็บอก เอ่อ! เป็นกรรมของเขา
ญาติโยม อัตตาตัวตนนี่เป็นสิ่งที่ถ้าเราไปหลงยึดติดมันก็จะยุ่งยาก มีตัวตน เรื่องเราเรื่องเขา พวกเรา พวกเขา พรรคเรา พรรคเขา เพราะฉะนั้น ญาติโยม ทำให้เราต้องวุ่นวาย บางทีเวลาชีวิตที่ผ่านไปวันๆ เสียเวลาเปล่า พระพุทธองค์ท่านสอนเรา อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเปล่าไปเกิน ท่านทั้งหลาย สังขารมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา แต่สุดท้ายสังขารทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นอนัตตา ไม่ได้ตัวตนที่แท้จริง เราก็อยู่อย่างนี้ เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นปรารถนาของเราที่จะพ้น มีความสุขที่แท้จริง คือ พระนิพพาน ก็ต้องปฏิบัติ ญาติโยม ปฏิบัติ อันนี้พระพุทธองค์ท่านสอน เรามีเส้นทาง หรือ มีวิธีทรงประทานให้เราแล้วก็คือ “มรรค 8” นั่นแหละ เราสวดกันไปพักใหญ่ๆ ทุกข้อเลย ถ้าพิจารณาตาม ก็จะได้ประโยชน์มาก
แต่ถ้าใครยังไม่สันทัด ก็ลองศึกษาเพิ่มเติม หลวงพ่อฯก็ขอฝากอันนี้ เหมือนเป็นของฝากไว้ให้กับพวกเรา ให้มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกเมื่อ เพื่อให้เราไม่หลงในสภาวธรรมทั้งหลาย เราหลงไปเมื่อไหร่ เกิดอัตตาตัวตน ที่มันมีรูปสวย มีเสียงเพราะ มีกลิ่นหอม มีรสชาติเอร็ดอร่อย นี่ไง พอขาดสติก็หลง หลงปุ๊บ ก็เกิดกิเลสปุ๊บ ก็เกิดสะสมในใจ กิเลสพอกพูน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญสูงสุดของชีวิต คือ ต้องขัดเกลากิเลส สะจิตตะปะริโยนะทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ คือ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ญาติโยม แต่ถ้าพูดเป็นภาษาเราง่ายๆก็คือ ให้ขัดเกลาจิตใจ อย่าให้กิเลสมันหนานัก ค่อยๆขัดไป เพราะถ้าหากว่ามันเยอะ มืดดำหม่นหมอง กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองเป็นนิวรณ์ เป็นปะลิโพทะ(ปลิโพธ) เครื่องกังวลใจ เพราะฉะนั้น อย่างจิตใจสะอาด สงบ สว่าง เยือกเย็น ก็ต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ ญาติโยม พอมันหลุดไป ก็พยายามเตือนตัวเอง อย่าเตือนตัวเองอย่างเดียว ตำหนิตัวเองด้วย ลงโทษตัวเองบ้างก็ดี พอสติมันหลุดไปก็ลงโทษตัวเองบ้าง ให้มองเห็นว่า นี่ไง! จิตใจที่มันถูกกิเลสครอบ มันก็หลงไป บางทีมันก็ไปไกลแล้ว ก็ยุ่งยากเหมือนกัน แต่พวกเราโชคดีน่ะ ที่นี่เป็นที่ปฏิบัติธรรมที่ดี
หลวงพ่อฯขอชมน่ะว่าดี เป็นที่ปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อฯเคยพูด อยากให้มีที่อย่างนี้เยอะๆ ที่สำคัญก็คือ ถ้าจะให้อยู่ได้ พวกเราก็ต้องช่วยกันเอื้อเฟื้อกับสถานที่แห่งนี้ด้วย ตอนนี้เรามามาก หลวงพ่อฯมาหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกว่าวันนี้พวกเรามากันมาก อยากได้บุญกันมาก เพื่อไปป้องกันโควิด ท่านจะรอดหรือไม่รอด ขึ้นอยู่กับความจริงว่าท่านมีบุญหรือไม่ บุญนำสุขมาให้ บุญนำพาเราไปที่ปลอดภัย เพราะโรคภัยไข้เจ็บ อันตรายทั้งหลายทั้งปวง ทุกข์ทั้งหลาย ขจัดได้ด้วยบุญ ทั้งนั้นเลย วันนี้เราก็มาเอาบุญเต็มที่ ขอให้เป็นอานิสงส์ที่ป้องกันให้ทุกคนพ้นจากภัยทั้งโควิดโดยถ้วนทั่วกัน
ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดดลบันดาลประทานพร ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติแก่ญาติโยม สาธุชน โดยถ้วนทั่วกัน ทุกคนๆเทอญ (สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี