สอบ‘พระอลงกต’  ไขปมเปลี่ยนเลขบัตรปชช.  วัดพระบาทน้ำพุแถลงโต้

สอบ‘พระอลงกต’ ไขปมเปลี่ยนเลขบัตรปชช. วัดพระบาทน้ำพุแถลงโต้

วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

พศ.ยอมรับสงสัยเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ยันหากพบหลักฐานชัดทำให้คณะสงฆ์เสื่อมเสียร้ายแรง เจ้าคณะผู้ปกครองสามารถพิจารณาให้สละสมณเพศได้ ด้านวัดพระบาทน้ำพุ แจงปมบัตรประชาชน-ที่ดิน ยันตรวจสอบได้ทุกเรื่อง บางส่วนยังรอตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีที่มีการตรวจสอบเลขประชาชน 13 หลัก ของพระราชวิสุทธิประชานาถ หรือหลวงพ่ออลงกตอดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี พบว่าในหนังสือสุทธิของพระสงฆ์ กับในบัตรประชาชนไม่ตรงกัน อีกทั้งยังพบว่าเลข 13 หลักในบัตรประชาชน ยังไปตรงกับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วด้วย ว่าการที่ท่านไปเปลี่ยนเลขบัตรประชาชน ก็ย่อมทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่ามีอะไรหรือไม่ ซึ่งในการบวชสมัยก่อน ยอมรับว่าไม่ได้มีความเข้มงวดถึงขั้นต้องตรวจเลข 13 หลัก และประวัติอาชญากรรมเช่นเดียวกับในสมัยปัจจุบัน


อย่างไรก็ตามคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นโดยมีเจ้าคณะตำบลเขาสามยอด เป็นประธานนั้น พร้อมที่จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อความชัดเจน ซึ่งจะมีการประสานข้อมูลจากฝ่ายปกครอง โดยทราบมาว่าทางผู้ว่าฯลพบุรี ได้มีการสั่งการแล้ว

นายอินทพร กล่าวต่อว่า ขณะนี้หลวงพ่ออลงกต ยังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ระหว่างการพิสูจน์ข้อมูลหลักฐานว่าท่านมีความผิดหรือไม่ ซึ่งหากมีหลักฐานชัดเจนว่าท่านทำให้คณะสงฆ์เสื่อมเสียร้ายแรง และมีการกระทำความผิดเป็นอาจิณ เจ้าคณะผู้ปกครองก็สามารถพิจารณาให้ท่านสละสมณเพศได้ ซึ่งเป็นแนวทางตามที่มหาเถรสมาคม (มส.) ได้เห็นชอบร่างกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568) ที่ระบุว่า หากพระสงฆ์ที่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ หรืออาบัติรุนแรงแต่ไม่ถึงขั้นปาราชิก เช่น ความผิดครุกาบัติ สังฆาทิเสส หากไม่สละสมณเพศจะทำให้เกิดความเสียหาย เสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์ ให้สละสมณเพศได้ โดยให้ พศ.นำเรื่องเสนอต่อเจ้าคณะภาค ในกรณีที่เป็นพระภิกษุทั่วไป และหากเป็นพระสังฆาธิการให้เสนอเจ้าคณะใหญ่ เป็นผู้พิจารณา แต่ถ้าพระที่ถูกร้องเรียนเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ และพระราชาคณะ ให้เสนอ มส.พิจารณา โดยหากมีหลักฐานชัดเจนแต่ไม่ยอมสละสมณเพศ ให้ พศ.แจ้งขออารักขาจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในการดำเนินการให้สละสมณเพศต่อไป

บ่ายวันเดียวกัน ที่วัดพระพุทธบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี นายศุภชัย สิงคาลวานิช ทนายความวัดพระบาทน้ำพุ แถลงข่าวกรณีสังคมตั้งข้อสงสัยในหลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ เรื่องเงินบริจาค และการดูแลผู้ป่วยเอดส์ ว่าสังคมเข้าใจในทางที่ผิดเพราะเกิดการชี้นำจากหลายเพจ และผู้มีอิทธิพลทางสื่อ เอาเรื่องปะติดปะต่อทำให้เราเสียหาย อย่างเรื่องเด็กชายใจแก้ว ที่เกิดจากหญิงออทิสติก แต่ท่านเจ้าคุณรับเลี้ยง ก็สร้างเรื่องว่าเป็นลูกของเจ้าคุณ ซึ่งเด็กก็เป็นเอดส์ แต่ไม่ใช่ลูกของพระอลงกต แต่ก็ไม่มีใครแก้ข่าวให้ สังคมไม่เข้าใจภารกิจของสงฆ์ การที่เจ้าคุณดูแลผู้ป่วยHIV เด็กและคนชรา ก็กล่าวหาว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ทั้งที่เป็นเรื่องของสาธารณะสงเคราะห์

ขณะที่พ.อ.ประชุม สุขสำราญ ผู้ดูแลศาสนสถานวัดพระบาทน้ำพุ ประธานมูลนิธิพุทธสถานลพบุรีศรีสุวรรณภูมิ กล่าวว่า หลวงพ่ออลงกต บวชมาก็บำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำ จนเจ้าอาวาสองค์ก่อนมรณภาพ ญาติโยมเลยนิมนต์ท่านออกจากถ้ำ จนมีคนมาทิ้งผู้ป่วยเอดส์ไว้ ท่านก็มาดูแล ท่านก็ท้อใจ จนขึ้นไปพระบาทข้างบน ดูลงมาที่เมืองลพบุรี ก็คิดว่าถ้าพระพุทธเจ้าจะช่วยหรือไม่ ก็คิดว่าถ้าไม่ช่วยใครจะช่วย เลยตั้งใจจะช่วยเหลือให้เต็มที่ เหมือนเป็นภารกิจจากพระพุทธองค์ ซึ่งก็เห็นแล้วว่าการบวชแล้วแผ่เมตตาในมุ้ง มันไม่ได้อะไร ก็เลยต้องมาช่วย นอกจากมีเมตตาก็ต้องมีกรุณาด้วย จากนั้นก็ต้องดูแลครอบครัว ก็เลยมีมูลนิธิธรรมรักษ์ขึ้นมา ที่ต้องดูแลทั้งเด็กและผู้ใหญ่

พ.อ.ประชุม กล่าวอีกว่า ข่าวที่ระบุว่าดูแลผู้ป่วยอยู่แค่ 140 คน ก็ต้องบอกว่าเราคำนึงถึงสิทธิของผู้ป่วย ที่พักจึงอยู่ข้างใน ใครมาที่นี่ก็บอกไม่เห็นมีผู้ป่วย เราจัดพิธีสวดมนต์ให้ เขาดีใจเพราะไม่เคยมีคนมาเยี่ยม บางคนอ้วน บางคนผอม อยู่ได้เพราะยาต้าน ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ก็มีบ้านพักให้ แล้วมาช่วยงานวัด ส่วนผู้ป่วยติดเตียงอยู่ด้านใน หลวงพ่อไม่ได้หากินกับผู้ป่วย ที่ป่วยติดเตียงก็ครึ่งหนึ่งของ 140 คน

ด้านนายเฉลิมพล พลมุข ประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อ HIV ทั้งประเทศมีประมาณครึ่งล้านคน เป็นระเบิดก้อนใหญ่ของสังคม ซึ่งต้องถามว่ารัฐบาลเตรียมพร้อมไว้หรือไม่ หลายคนบอกเอดส์หมดไปจากประเทศไทย แต่ตัวเลขกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ก็บอกว่ามีผู้ติดเชื้อลอตใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ ถ้าทรุดขึ้นมาทั้งหมด โรงพยาบาลรับไว้ไหม บางโรงพยาบาลตอนนี้แทบจะล้มละลาย

นายศุภชัย กล่าวเสริมว่า ตอนนี้ทางวัดดูแลคนกว่า 1,200 คน ไม่ใช่แค่ 140 คน ส่วนความแตกต่างของวัดกับมูลนิธิ ที่จัดตั้งแตกต่างกัน มีวัตถุประสงค์ต่างกัน โดยพระอาจารย์ดูแลผู้ป่วยเอดส์ด้วยตัวคนเดียว จึงตั้งมูลนิธิธรรมรักษ์ ตั้งแต่ปี 2537 ทำให้คนมาช่วยกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับวัด มูลนิธิพุทธสถานลพบุรีศรีสุวรรณภูมิ มูลนิธิพระอลงกต มูลนิธิ อาทรประชานารถ และมูลนิธินาถะ ก็ก่อตั้งตามมา และไม่เกี่ยวกับวัด

พ.อ.ประชุม กล่าวถึงกรณีที่ดินซึ่งให้คนอื่นดูแล เป็นเพราะการซื้อที่ดินไม่ได้ซื้อทีเดียว แต่ค่อยๆซื้อเลยเป็นชื่อของบุคคลก่อน พอตั้งเรียบร้อยก็โอนให้เป็นนามมูลนิธิ ที่ยังโอนไม่เรียบร้อยก็จะเสร็จเร็วๆนี้

นางกอแก้ว เพชรบุตร ผอ.โรงเรียนนาถะศาสตร์ เปิดเผยว่าโรงเรียนที่ดูแลสนามฟุตบอล ที่เน้นสร้างนักกีฬา สร้างนักฟุตบอลทีมชาติ ฟุตบอลไทยต้องไปฟุตบอลโลก มีเด็ก 127 คน ในนามใจฟ้าอคาเดมี่ ไปแข่งที่ญี่ปุ่นก็ได้แชมป์ หลวงพ่อเป็นโค้ชให้ทุกวันอาทิตย์ เอาคลิปวีดีโอการแข่งขัน การแอสซิสต์ การยิงประตูให้ดูด้วย อย่างสนามฟุตบอลทีมชาติหญิงก็มาใช้ซ้อม และจัดการแข่งขันด้วย เด็กที่มาแข่ง ก็ได้เบี้ยเลี้ยงฝึกซ้อม 5 หมื่นบาทอัพทุกคน

นายศุภชัย กล่าวยืนยันว่าเราทำให้เด็กได้มาตรฐาน ไม่ได้เป็นเรื่องหรูหราฟุ่มเฟือย เราก็คัดเด็กจากกลุ่มที่ยากจน แต่มีความเก่งเรื่องกีฬา เอามาเรียนที่นี่

นายเฉลิมพล กล่าวถึงที่ดินในพื้นที่ อ.หนองม่วง ที่ว่ามี 2 พันไร่ จริงแล้วมีแค่ 800 กว่าไร่ เป็นที่ซึ่งโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 ใช้ มีบ้านพักเด็ก มีบ้านพักผู้ติดเชื้อ HIV มีบ้านพักผู้สูงอายุ และญาติอดีตไวยาวัจกร กำลังจะทยอยโอนที่คืนให้มูลนิธิ

นางกอแก้ว กล่าวถึงโรงเรียนกำจรวิทย์ ที่ว่าหลวงพ่อซื้อไป เป็นโรงเรียนเอกชน ปิดกิจการ และทำโรงเรียนรองรับใจฟ้าอคาเดมี่ จึงใช้ใบอนุญาตโรงเรียนกำจรวิทย์ ย้ายมาที่ใจฟ้าฟาร์ม แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนนาถะศาสตร์ ที่ไม่โอนให้มูลนิธิ เพราะอาคารยังไม่เสร็จ ไม่พร้อมรับเด็กถ่ายโอนไป แต่ตอนนี้ก็โอนไปให้มูลนิธิอาทรประชานารถ ที่ดินเดิมก็ยังอยู่

นางกอแก้ว กล่าวถึงข่าวลือเรื่องซื้อโรงแรม จริงๆนายยงยุทธ กิจวัฒนานุสนธิ์ หรือเฮียยี่ เจ้าของโรงแรม ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ทุกคนก็ลำบาก เฮียยี่ ก็คงอยากขายให้หลวงพ่อ แต่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ก็แค่เอาทีมไปช่วยดูแลร้านอาหารชั้นล่าง ทำเป็นร้านสยามปันสุข ขายอาหาร อิ่มละ 20 ทำอยู่ 10 เดือน ก็ถอนทีมออก เป็นการเข้าไปช่วยเฉยๆ ไม่ใช่ไปเหมาโรงแรม

นายศุภชัย กล่าวว่า เรื่องตัวบุคคล ยืนยันว่าหลวงพ่ออลงกต มีบัตรปะชาชน และนามสกุลพูลมุข ตามหลักฐานของกระทรวงมหาดไทย ส่วนเรื่องเลข 13 หลักในหนังสือสุทธิยืนยันว่าคนละเลขบัตรประชาชนกัน เลขไปเหมือนคงจะเป็นเรื่องอื่น เมื่อถามว่าทำไมพร้อมเพย์เลขบัตรประชาชน นายอลงกต ถึงเข้าไปทีมูลนิธิ นายศุภชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ติดตามละเอียด ก็จะจดเอาคำถามไปพิจารณาแล้วจะตอบในการแถลงครั้งหน้า ยืนยันว่าเรื่องของวัดตรวจสอบไปมากแล้ว แต่เรื่องมูลนิธิ ต้องขอเวลาตรวจสอบ จะตอบในคราวหน้าแน่นอน

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า เรื่องของมูลนิธิอาทรประชานารถ ตั้งเมื่อพ.ศ.2562 เรายังตรวจสอบไปไม่ถึง เป็นเรื่องที่ไวยาวัจกรคนเก่าดูแล ท่านเสียชีวิตแล้วก็ต้องตรวจสอบ คราวหน้าจะตอบเมื่อถามว่าเลขบัตรประชาชนของนายอลงกต ซึ่งเป็นคนละเลขกับนายเกรียงไกร แล้วทำไมตอนบวชเมื่อปี 2529 ถึงจำเลขบัตรตัวเองไม่ได้ นายศุภชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เพิ่งทราบ ยังไม่ได้คุยกับหลวงพ่อ คราวหน้าจะตอบเรื่องนี้ ต่อข้อถามว่า นายอลงกต พลมุข เป็นญาติกับพระอลงกตหรือไม่ นายเฉลิมพล กล่าวว่า นายอลงกต ที่เสียชีวิตเป็นญาติตน และไปงานศพด้วย ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ก็แจงแล้วว่าเป็นเลข 13 หลักคนละตัวเลขกัน ส่วนที่ถามว่าอะไรปลอม อะไรจริง ก็ไม่สามารถตอบได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้สอบถามพระอลงกตหรือไม่ ว่าทำไมกรอกเลขคนอื่นในใบสุทธิ นายเฉลิมพล กล่าวว่า คนทำงานกับท่าน เจอท่านน้อยมาก ก็ไม่เคยไปถามว่าเลขบัตรอะไร คำถามก็น่าจะไปถามท่านเองดีกว่า แต่ก็เคยถามญาติที่ จ.มหาสารคาม และที่พระนครศรีอยุธยา ก็คุยกันเป็นระยะๆ แต่ก็ไมได้สืบว่าพระอลงกต เป็นญาติตนหรือไม่อย่างไร

ขณะที่พ.อ.ประชุม กล่าวว่า เดิมพระใช้ใบสุทธิ ไม่ต้องมีบัตรประจำตัว ส่วนคนที่ลงข้อมูล ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวพระเองหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นผู้ลงข้อมูล

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top