"พระครูใบฎีกาอำนาจ" หรือ "หลวงพ่ออำนาจ โอภาโส" หนึ่งในพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งได้เป็นผู้บุกเบิกสร้าง "วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว" อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ได้เมตตาสอนปฏิบัติธรรมในหัวข้อ "ฌานสมาบัติ" เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 5-8 มี.ค.2564 เป็นเวลา 3 คืน 4 วันที่บ้านลานเสียงธรรม นาคนิวาส 40 ซอยลาดพร้าว 71 ทาง "แนวหน้าออนไลน์" ได้นำเนื้อหาบางส่วนมาถอดเทปเพื่อเผยแพร่ธรรมะอันเป็นประโยชน์ ในหัวข้อ "ปฏิจจสมุปบาท" แบบเข้าใจง่าย ดังนี้
....ผู้ใหญ่สูงสุดของประเทศไทย ท่านได้กล่าวไว้ ท่านเสธฯ (พ.อ.สมศักดิ์ บำรุงศิลป์ เจ้าของบ้านลานเสียงธรรม) ปัจจัยเนี่ย เขาไม่ได้ให้พระน่ะ เขาให้พระไปทำนุบำรุงศาสนา ไม่ใช่ให้พระไปเก็บ ท่านพูดตรงๆ อย่างนี้เลยน่ะว่า ลืมตัวกันหมดแล้ว ปัจจัยเนี่ย
ถ้าท่านไม่ใส่จีวร เขาจะให้ท่านเหรอ เขาไม่ได้ให้ท่าน เขาให้ท่านทำนุบำรุงศาสนา เป็นแค่ตัวกลาง หลวงพ่อฯเป็นแค่ตัวกลางน่ะ ใจของโยม และ บุญก็เป็นของโยม หลวงพ่อฯแค่เป็นสะพาน ตั้งแต่บวชก็สำนึกในบุญข้อนี้ตลอด ถ้าเราไม่ใส่ชุดนี้ ใครเขาจะให้ข้าว่กิน ใครเขาจะถวายปัจจัย เขาไม่ได้ขถวายเราหรอก เขาถวายเพื่อมาช่วยพระพุทธศาสนา เป็นบุญของเขา เราไปเก็บตกนรกไหม ตกนรกไหมเสธฯ ตกนรก เพราะฉะนั้นปัจจัยก็เป็นบุญของโยม หลวงพ่อฯเป็นแค่สะพานบุญ
ตอนนี้ที่วัดเทิดพระเกียรติเพื่อสันติภาพที่ประเทศเยอรมัน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่ผ่านมา ทางท่านทูตทหารก็ได้ไปรับมอบกุญแจปราสาท ก็ได้นำรูปปั้นเสด็จพ่อ ร.5 ไปไว้ที่นั่น เพื่อประดิษฐาน ถ้าใครมีรูปปั้น รูปหล่อของเสด็จพ่อ ร.5 ก็จะไปไว้ที่นั่น ตอนนี้ก็จะเริ่มทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ร.5 เพื่อให้เห็นว่า สมัยรัชกาลที่ห้า ท่านมาเชื่อมสัมพันธไมตรี ท่านเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดมาให้ คือ เรื่องสันติภาพ แล้วกษัตริย์ของเยอรมัน ก็มาต้อนรับน่ะโยม มีรูปไว้เยอะมาก ที่วัดเราก็มาพริ้นท์ไว้เฉยๆ เพราะเราไม่มีรูป ก็พริ้นท์ไว้ใส่กรอบ ติดไว้เป็นสิบรูปที่วัดเพื่อพระนิพพาน เป็นห้องเลย ฝรั่งเข้ามาครั้งแรกจะเจอรูป ร.5 ก่อน แล้วก็เจอรูปั้น ร.5 กับรูปกษัตริย์ของเขาเนี่ยอยู่ด้วยกัน
อ้าว! นี่ คิงส์ของเขา นี่คิงส์ของเรานี่ ใช่ไหมโยม ไปแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง ด้านจิตสำนึกว่า กษัตริย์ของเรามาที่ประเทศเยอรมัน ตั้งแต่สมัย ร.5 น่ะ ท่านเอาแต่สิ่งที่ดีมาให้ ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่กันอยู่ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ เรื่อง "สันติภาพ" ไงโยม เป็นความรู้สูงสุดในการแก้ปัญหา เพราะฉะนั้น ก็ฝากไว้ว่า ถ้ามีรูป ร.5 นำมาถวาย หลวงพ่อฯจะขนไปเยอรมันให้ ไว้ที่วัดเทิดพระเกียรติฯ วัดเพื่อสันติภาพ วัดเพื่อพระนิพพาน แต่ก่อนหลวงพ่อฯ ก็ไม่ได้สะสมก็แล้วกัน หลวงพ่อฯ อยู่วัดเล็กๆในเมืองไทย ไปอยู่ที่โน่น ก็มีนโยบายในทำนองที่ว่า สร้างความรัก ความผูกพัน เรื่องในอดีตที่ผ่านมา สักสองสามเรื่อง
เรื่องปัจจัยก็เป็นเรื่องบุญของโยมทั้งหมด ไม่ใช่ของหลวงพ่อฯหรอก หลวงพ่อฯ แค่เป็นสะพาน คือ ตั้งแต่เด็กๆเนี่ย ตั้งใจว่าจะไม่กลับมาเกิดแล้ว ก็เลยไม่คิดจะสะสมอะไรให้กับตัวเอง เพราะว่า แม้แต่บุญก็ไม่สะสม แม้แต่ทรัพย์สินก็ไม่สะสม คือ ถ้าโยมสะสม โยมก็ต้องตั้งใจว่าจะกลับมาใช้ จึงมาเกิดใหม่ มีที่ดิน มีบ้านอยู่ ขึ้นสวรรค์ วิมาน หลวงพ่อฯ ไม่ได้มีความตั้งใจอย่างนั้น ก็เลยคิดว่า ไม่รู้จะสะสมไปทำอะไร จริงๆก็เช่นเดียวกันน่ะ เราสิ้นแล้ว ทั้งบุญและบาป เพราะว่าท่านเอง ในบุพรกรรมของท่าน ท่านก็เล่าน่ะ ที่หลวงพ่อฯเล่าเมื่อวานนี้ เห็นชาวประมงจับปลาขี้นมา ท่านก็ไปดีใจกับชาวประมงเขา นี่บุพรกรรมข้อนี้ ทำให้ท่านต้องมาปวดหลังนะโยม ปวดหลัง น่าจะปวดศรีษะ ปวดศรีษะ เนื่องจากบุพรกรรม แล้วท่านก็มีผลกรรมในฝ่ายดี แล้วก็ฝ่ายไม่ดีน่ะ ฝ่ายไม่ดีท่านก็มี แล้วท่านก็ใช้คำสุดท้ายท่านว่า ท่านสิ้นแล้ว ท่านบุญและบาป คือ ท่านถึงนิพพานน่ะโยม บุญก็ไปไม่ถึง เพราะไม่ได้ใช้ ยังไม่ได้ บาปก็ไปไม่ถึง ไม่ได้ใช้แล้ว
แต่ถ้าโยมยังไม่ถึงนิพพาน เมื่อวานไปที่วัดจีนแห่งหนึ่งก็สร้างใหม่ มีสามร้อยกว่าสาขาทั่วโลก ท่านเจ้าอาวาสอายุ เจ็ดสิบหก ก็ลงมาต้อนรับ คุยกันเรื่องโครงการ "สันติภาพ" ที่หลวงพ่อฯกำลังทำอยู่ แต่นโยบายของวัดนี่ก็ดีน่ะ เขาเล่าให้ฟังว่า ถ้ายังไม่ถึงมรรคผล นิพพาน เราก็ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนไปก่อน อย่างโยมเนี้ยะ ถ้ายังไม่ถึงมรรคผลนิพพาน โยมก็หัดทำบุญไป อย่างน้อยก็เกิดมาก็ไม่ลำบาก หรือว่าถ้าโยมได้พระโสดาบัน ไม่ตกต่ำอีกแล้ว ปิดอบายภูมิได้ถาวร ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดในตระกูลสูง หรือ พ่อแม่พาเข้าวัด ตั้งแต่เด็กๆ หรือไม่ก็ไปเล่นอยู่บนสวรรค์ได้ อยู่ที่ว่าสวรรค์ชั้นไหน ก็เป็นเรื่องของบุญ ก็โยมไม่ได้ขาดสติตอนตายนี่ไง อันนี้คือประโยชน์ของการเรียน ทำไมหลวงพ่อฯถึงต้องสอนให้ถึงพระโสดาบัน เพราะว่าอย่างน้อยไปส่งโยมเข้าปากประตูพระโสดาบันแล้ว หลวงพ่อฯ ไม่ต้องห่วงแล้ว เพราะโยมเที่ยงแท้ต่อนิพพานแน่นอน โยมถึงนิพพานแน่ ไม่เกิดเจ็ดชาติ แต่ปิดอบายภูมิแน่นอน แต่โยมยังเกิดอยู่ โยมก็จะเกิดเป็นคนที่มีฐานะ หรือไม่ก็ไปเกิดบนสวรรค์ อันนี้ก็สบายแล้ว อย่างถ้าหลวงพ่อฯ มีลูกมีหลานก็แล้วกันน่ะ ให้มรดกแค่นี้ หลวงพ่อฯก็พอใจแล้ว ให้เงินเขา เขาอาจจะตกนรกก็ได้
พระโสดาบันประเสริฐกว่าพระเจ้าจักรพรรดิ เพราะพระเจ้าจักรพรรดิ ยังมีสิทธิตกนรกได้ แต่พระโสดาบัน ปิดอบายภูมิถาวร ขอเล่าหน่อยหนึ่ง...
ในสมัยพุทธกาล ก็มีสามี ภรรยาคู่หนึ่ง ไปเจอพระพุทธเจ้า สามีก็ทักว่า อ้าวลูกๆ ลูกมาบวชตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อตามหาตั้งนาน ทุกคนก็ตกกะใจทำไมถึงพูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรวจดูอุปนิสัยเขา ก็พบว่าสามีภรรยาคู่นี้ในอดีตเคยเกิดมาเป็นพ่อแม่ท่านห้าร้อยชาติและเคยเกิดเป็นป้า เป็นลุง เป็นปู่ เป็นย่า มาอีกห้าร้อยชาติ ก็เลยมีความคุ้นเคย พอเจอหน้าก็ทักเลยว่า ลูกหนีมาบวชตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อตามหาอยู่ตั้งนาน พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมให้เขาฟัง ทั้งสองคนเป็นพระโสดาบันทั้งคู่ ตอนบั้นปลายชีวิตของพระพุทธเจ้า ท่านก็ไปเยี่ยมชายหญิงคู่นี้น่ะ ในชนบท ในชายประเทศ เขาก็มาต้อนรับ จัดอาหารการกินมาให้อย่างดีและเขาก็บอกว่า เขาสองคนเนี่ยะรักกัน เป็นพระโสดาบันน่ะ เขารักกัน เขาไม่นอกใจกัน เขาไม่ไปนอกใจทางกายด้วย เขาจะอยู่กันอีกช่วงหนึ่ง ก่อนจะไปนิพพาน
ถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าไม่ผลักดันให้ทั้งสองคนเป็นพระอรหันต์อยู่ เพราะเขาปิดประตูนิพพานไปแล้ว และเขาปิดประตูถาวรอย่างที่หลวงพ่อฯเปรียบเทียบว่า ยืนอยู่หน้าสู่ประตูนิพพาน ถ้าเข้าไปแล้วโยมจะไม่เจอใคร เพราะมันไม่มีขันธ์ห้าไง บุญและบาปก็ไปไม่ถึง เขาก็ยืนอยู่หน้าประตูนิพพานแล้วหันหน้าไปชื่นชมสวนดอกไม้อีกหน่อยนึง อย่างปลอดภัย ยังอาลัยอาวรณ์กับความรักอย่างหอมหวาน ยังอ้อยอิ่งในกลิ่นหอมดอกไม้ ในสวนก็แล้วกันน่ะ เกสรดอกไม้ สีสันต่างๆ ยังบานสะพรั่ง สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ที่งดงามตระการตา คือ เขาอยู่ในราคะ เขามีราคะ แต่เขาไม่ไปอบาย
อันนี้ก็คือสิ่งที่หลวงพ่อฯพยายามสอนพวกเรา เพราะฉะนั้น "ปฏิจจสมุปบาท" ที่โยมเรียนกันไปในสามวันที่ผ่านมา ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน เมื่อวานมีคนดูไลฟ์ของท่านเสธฯ มาหาหลวงพ่อฯ ตอนเย็น ดูแล้วเข้าใจง่าย ในชีวิตประจำวัน หลวงพ่อฯยกตัวอย่าง ท่านเสธฯ เนี่ย ตาไปกระทบรูปแฟน เกิดจักขุวิญญาณ สัมผัสสวย เป็นนางงาม ไปสอยดอกลำดวนมา สอยดอกลำดวน เห็นไหม เกิดสุขเวทนาอยากได้ยึด แล้วก็ไปขอเขาแต่งงาน อันนี้มีในชีวิตประจำวันไหม แล้วข้อแตกต่างอยู่ตรงไหนโยม บางคนอาจบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่อยู่ในชีวิตประจำวัน แต่เป็นที่อาศัยการเกิดขึ้น ตากระทบรูป เสธฯก็แล้วกันตาเสธฯ เห็นจักขุวิญญาณ เกิดจักขุสัมผัส เกิดสุขเวทนา เพราะเห็นนางงาม เห็นไหมโยม เห็นนางงาม สวยฟรุ้งฟริ้ง อย่างนี้
สวยแล้ว มีความสุข อยากได้ไหม ตัณหาก็เกิดขึ้น เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี แต่ถ้าไปเจอสิ่งที่เป็นทุกข์ ทุกขเวทนา ตัณหาก็อยากจะพ้น นี่ไง นี่เป็นกฎธรรมดาไหม แต่ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ถ้ามันอาศัยกันเกิดขึ้น แสดงว่า ตัณหานี้ ไม่มีตัวตน ตัณหาต้องอาศัยเวทนาเกิดขึ้น สุขเวทนา ทุกขเวทนาก็ไม่มีตัวตน เพราะต้องอาศัย "ผัสสะ" เกิดขึ้น ผัสสะก็ไม่มีตัวตน เพราะต้องอาศัย "อายตนะ" กันเกิดขึ้น ถ้า "อายตนะ" ไม่กระทบล่ะ อย่างเสธฯตาบอดก็แล้วกัน ไม่มีลูกกะตา ไปเห็นแฟน จักขุวิญญาณก็ไม่เกิด จักขุสัมผัสก็ไม่เกิด จะมี "สุข" จากการเห็นรูปไหม
โยมเคยเห็นดอกหญ้าที่สวยๆไหม เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กสาวที่ตาบอดน่ะ ซึ่งเขาอาจจะไม่เคยรู้ว่า เขาสวยงามขนาดไหน โดยเฉพาะเด็กสาวที่ตาบอด เขารู้ไหมว่า เขาสวย เขาไม่เคยรู้ ภาพวาดที่สวย เขาเคยรู้ไหมว่า เขาเป็นภาพวาดที่สวย ดอกหญ้าที่สวยเขารู้ไหม ไม่ต่างกันน่ะดอกหญ้าที่สวยก็ไม่ต่างจากเด็กสาวที่ตาบอด เขาไม่รู้ว่าเขาสวยงามขนาดไหน เพราะจักขุวิญญาณไม่มีไงโยม
เพราะฉะนั้น ถ้าเสธฯไม่มีลูกตาก็แล้วกันนน่ะจะเห็นหญิงสาวที่เป็นนางงามได้ไหม จักษุวิญญาณจะเกิดไหม อย่าง "หมอนวด" ที่ตาบอดไม่เห็นแล้วรู้ได้ยังไงว่า เขาสวย บอกใช้จับๆดูก็สวยน่ะ อย่างหลวงพ่อฯไปนวดก็จับดูๆ ทายถูกด้วยน่ะว่าอายุเท่าไหร่ เขาดูจากกล้ามเนื้อ ตื่นขึ้นมา ไม่ได้เห็นหน้าหลวงพ่อฯน่ะ ตอนเป็นฆราวาสน่ะ อาจารย์อำนาจใช่ไหม จำเสียงได้ด้วยน่ะ อาจารย์อำนาจนี่ จับเนื้อ จับอะไร ประเมินอายุได้ อะไรได้ หล่อน่ะเนี่ย ตาบอด ไม่รู้เรื่องหรอก (หัวเราะ) ฟังจากเสียง ฟังจากเสียง มันคือ กฎธรรมชาติ ตากระทบรูป เกิดจักขุวิญญาณ แต่ถ้าตาไม่มี จักขุวิญญาณก็ไม่มีน่ะ
หลวงพ่อฯสอนหนังสือเด็กพิการทางหู ปริญญาตรีน่ะ จบในประเทศ มหิดล เด็กคนนี้ไม่เคยได้ยินเสียงโยม ก็ถามว่า คุยโทรศัพท์กันยังไง โยม คุยข้างตึก คุยกันยังไง จะด่าข้ามตึกไหม จะมีไหม ด่ากันหนวกหูมากเลย ด่ากันข้ามตึกหนวกหูมากเลย นี่พาไปวาดรูปนอกสถานที่ ใช่ไหมโยม เสียงมอเตอร์ไซต์หนวกหู เขาก็นั่งวาดรูปน่ะ เขาก็บอก ไอ้เด็กคนนี้มันสมาธิสูง เงียบกริบเลย เสียงอะไรหนวกหู เสียงมอเตอร์ไซต์ สิบล้อผ่าน ไม่หวั่นไหวโยม เด็กคนนี้ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยิน เรียนหนังสือเหมือนกันน่ะ ลมพัดประตู ปิดปึ้ง ทุกคนตกกะใจ เด็กคนนี้ นิ่ง โอ้โห! สมาธิสุดยอด ไม่ใช่ ไม่ได้ยิน อันนี้พูดจริงๆน่ะโยม หูไม่สมบูรณ์ มีเสียงแล้ว มีหู แต่หูไม่สมบูรณ์ โสตะวิญญาณมีไหม ไม่มี โสตะวิญญาณมีตัวตนไหม เมื่อวานมีคนถามว่า เห็นหลวงพ่อฯเคาะไอ้นี่บ่อยจังเลย เคาะทำไม เคาะแล้ว เคาะอีก แค่สองครั้งเองน่ะ ใช่ไหมโยม เคาะแล้ว เคาะเล่า เคาะสองครั้ง คนดูก็บอกว่า ทำไมหลวงพ่อเคาะนี่บ่อยจัง เคาะนี้จะไม่ดัง (กริ๊งๆๆๆ) โสตะวิญญาณมีตัวตนไหม ดับไปแล้ว ไม่มี แล้ววิญญาณเป็นของใคร ไม่มี เพราะฉะนั้น โยมไม่ต้องกลัววิญญาณออกจากร่างน่ะ เพราะวิญญาณไม่มีตัวตน
มีผู้หญิงคนหนึ่งมาถามพระพุทธเจ้าว่า ภิกษุองค์หนึ่งทำไมถึงนิพพาน ทำไมอีกองค์ถึงไม่นิพพาน รู้จักกับ "วิญญาณ" ไหมโยม คือ วิญญาณที่มีอุปาทาน คือ ไปยึดว่า "วิญญาณ" เราจะไม่นิพพาน มีหรือจะไม่นิพพาน วิญญาณที่มีอุปาทานย่อม "นิพพาน" ใช่โสตะวิญญาณเราไม่โยม ถ้าไม่ใช่ จะของเราได้ยังไง และของใคร โสตะวิญญาณที่นั่งอยุ่ ที่ได้ยินเสียงระฆัง ของใครโยม ของนกไหม ของไก่ตอนเช้าไหม ของห่านไหม หรือไม่มีของใคร ความไม่รู้ เห็นไหม โยมมาละที่อวิชชาอีกรอบน่ะ ความไม่รู้ต่างหาก วิญญาณมันเป็นอนัตตา โสตะวิญญาณก็เป็นอนัตตา อย่างสิ่งที่ให้เกิด "โสตะวิญญาณ" ก็คือตัวเสียง เสียงที่มาจากเคาะกระทบกับไม้ เป็นอนัตตาไหม เป็นอนัตตา เหตุให้เกิดเสียง เป็นอนัตตา เหตุให้เกิดโสตะวิญญาณก็เป็น "อนัตตา" เสียงที่ได้ยินก็เป็น "อนัตตา" ความเป็นอนัตตาเป็นอย่างนี้น่ะ คือ พระโสดาบัน เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เขาละความเห็นผิดว่า เป็นตัวตน
อย่างที่ "ปฏิจจสมุปบาท" พอฟังแล้ว เข้าใจง่าย แต่โยมต้องมองให้ถูกมุม อย่างที่ยกตัวอย่าง ธรรมดา เข้าใจได้ ชีวิตเป็นจริงเป็นอย่างนั้น ตากระทบรูปแฟน จักษุเป็นยังไง เกิดอยากแล้วก็ยึด ยึดแล้วก็ขอแต่งงานอย่างนี้ อันนี้ยกให้เห็นนี่คือกฎธรรมดาที่มีแล้ว แต่โยมต้องมองให้เห็นว่า เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่อาศัยกันเกิดขึ้น ใช่ไหมโยม ถ้ามันไม่ได้อาศัยกันเกิดขึ้นก็แสดงว่า มันไม่มีตัวตน ถามว่า เขาตัดภพตัดชาติ เขาตัดไม่ได้โยม เขาแค่ละความเห็นผิด เขายังมีความยึดอยุ่ ยังมีอุปาทานอยู่ แต่ว่าเขาไม่ไปก่อกรรมชั่วแล้ว เพราะเขารู้ว่า ถ้าไปก่อกรรมชั่วกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน ตกนรกฟรีๆ
พอเรียนก็รู้ว่า ใช่อย่างที่หลวงพ่อฯสอนแล้ว ยากไหมที่จะละความยึดมั่น อันนี้ไม่ได้สอนให้ละความยึดมั่นน่ะ สอนให้เห็นถูกไปก่อน เพราะหลายคนก็ยังต้องเลี้ยงลูก แล้วก็อยากให้ลูกเป็นคนดี อย่างมีสามีภรรยาต้องดูแล ต้องรับผิดชอบ ยังไม่ได้ให้ทิ้งความรับผิดชอบน่ะ แต่ว่าอย่างน้อยก็ปิดอบายภูมิน่ะคุณโยม และถ้าจะเกิดอีกก็ไม่ลำบากแล้ว มันก็เหมือนขายประกันชีวิตน่ะโยม มันคือหลักประกันอันมั่นคงว่า ปิดอบายภูมิอย่างถาวร และ สิ่งที่คุณลงทุนไปในการเรียนเนี่ย เรียนสามวันไม่สูญเปล่า เพราะพระโสดาบันจะไม่เสื่อม ไม่เสื่อมจากพระสัทธรรมที่เรียนแล้ว ฟังแล้วเข้าใจไหมว่า เอ้อ! เสียงทำให้เกิดโสตะวิญญาณ เข้าใจไหม
ต่อไปจะคิดว่า โสตะวิญญาณ ไอ้ตัวตนน่ะมันจะคิดอย่างนั้นไหม มันจะไม่คิดแล้ว เพราะมันเคยเห็นแล้ว เคยกินส้มตำไหม ฝรั่งเคยคิดส้มตำไหม ฝรั่งจะไม่เคยกิน ฝรั่งเขาจะทำส้มตำได้ไหม ไม่ได้โยม เขาอาจจะได้ แต่เขาต้องไปเปิดตำรา อ้อ ได้ข่าวว่า ต้องใส่มะละกอ ใส่ถั่วฝักยาว ใส่พริกขี้หนู น้ำตาล ก็แล้วกันน่ะ แต่ถ้าโยมเคยกินส้มตำ โยมต้องเปิดตำราบอกหลวงพ่อฯไหม
เช่นเดียวกันน่ะโยม ถ้าโยมเข้าใจว่า โสตะวิญญาณไม่ใช่ตัวตน โยมก็ไม่ต้องเปิดตำราบอกหลวงพ่อฯหรอก เพราะโยมเคยเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ตัวตน หลวงพ่อฯสอนเนี่ย ต้องเปิดตำราสอนไหม อย่างสอนเรื่องส้มตำเนี่ย หลวงพ่อฯเคยกินต้องเอาหนังสือมาเปิดให้โยมฟังไหมว่า ส้มตำผสมด้วยอะไรบ้าง ก็มันเคยกิน มันก็รู้อยู่แล้วว่าประกอบด้วยอะไร เช่นเดียวกันน่ะ เรื่องของวิญญาณทั้งหกตัว ถ้าโยมเข้าใจแล้ว โยมจะเข้าใจเลย มันจะไม่เสื่อมเห็นไหม เพราะพระโสดาบัน จะไม่เสื่อมจากพระสัทธรรมที่เข้าใจยาก
เมื่อกี้บอกว่า เหมือนขายประกัน อย่างที่บอกว่า อันที่หนึ่ง ปิดอบายภูมิถาวร อันที่สอง ความรู้ที่โยมได้ จะไม่เสื่อม การลงทุนนี่จะไม่เสื่อม แต่ถ้าโยมไปเรียนผิด ที่มันเสื่อมเพราะมันไม่จริง แล้วก็ใช้ไม่ได้จริง ตายแล้วก็ใช้ไม่ได้ ใช่ไหมโยม แต่ถ้าโยมเรียนถูก อีกเจ็ดชาติ ถ้าบรรลุเป็นพระโสดาบันน่ะ อีกเจ็ดชาติ สองสามชาติแล้วก็อีกชาติหนึ่งอย่างนี้ มันก็ไม่เสื่อม ความรู้ข้อนี้ โยมอยู่สวรรค์มันก็ไม่เสื่อม โยมกลับมาเกิดอีก มันก็ไม่เสื่อม ดีกว่าไหม ดีกว่า แต่ไอที่มันไม่จริง มันจะเสื่อม เพราะว่ามันพิสูจน์ไม่ได้ โยมก็ลืมแล้ว อันนี้เล่าให้ฟัง เรื่องเดิม ที่โยมเรียน ที่โยมฟัง เรื่องเดิม ตากระทบรูป ทำให้เกิดจักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส
อย่างเช่น เสธฯก็แล้วกันน่ะ ตามองเห็นแฟนสวย อยากได้ยึด แล้วก็ลงมือไปจีบ ทั่วโลกเป็นอย่างนี้ไหม อนาคตเป็นอย่างนี้ไหม อดีตเป็นอย่างนี้ไหม แต่ทำไมคนไม่เห็นล่ะโยมว่า ไอ้นี่คือสิ่งที่อาศัยกันเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นต่างมุม ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้พูดสวนทางกับโลก ท่านพูดความจริง แต่โลกน่ะพูดสวนทางกับท่าน โลกไปเห็นว่าเป็นตัวตน แต่ถ้าเห็นเป็น "อนัตตา" ล่ะโยม ใครเห็นถูก พระพุทธเจ้าเห็นถูก พระพุทธเจ้าเห็นถูก แต่ว่าเราไม่เคยสังเกตุ เมื่อเรามาสังเกตุตาม เห็นไหม ปุถุชน ผุ้ไม่เคยสดับที่แรก พอมาสดับ ก็เห็นตาม เมื่อเห็นตามก็เห็นเหมือนกันกันไหม ไปทำให้เธอกับเราเห็นเหมือนกัน พูดเหมือนกัน
ทีนี้ จะขัดแย้งไหมในพระพุทธศาสนา พระจะแบ่งกันเป็นพวก ขัดแย้งไหม ไม่ขัดแย้ง เพราะว่า แม้แต่พระพุทธเจ้า และ สาวกพระพุทธเจ้าก็พูดเหมือนกันเลยโยมว่า หูและเสียงทำให้เกิดโสตะวิญญาณ มันทำให้เกิดผัสสะ ผัสสะทำให้เกิดเวทนาใช่ไหม พระพุทธเจ้าก็ถามอย่างนี้ พระก็ตอบว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เอ่อ ท่านกับเราพูดเหมือนกัน เห็นเหมือนกัน อันนี้ดีไหมโยมว่า แล้วควรทะเลาะกันไหม ควรแบ่งกันเป็นพรรคเป็นพวกไหม ควรโจมตีกันไหม ถ้าเห็นเหมือนกัน เมื่อไหร่น่ะโยม ทั้งสองพุทธกาลนี่ ธรรมะจึงสอดคล้อง
พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ พระสาวกก็สอนอย่างนี้ พระสารีบุตรก็สอนอย่างนี้ อย่างมี พระโพธิกะ ถามพระสารีบุตรอย่างนี้แล้วกันน่ะว่า เวทนานี่เกิดจากคนทำเองใช่ไหม บุคคลอื่นใช่ไหม ทั้งบุคคลทำเองและบุคคลอื่นช่วยกระทำให้เกิดขึ้นใช่ไหม พระสารีบุตรบอกว่า ไม่ใช่อย่างนั้น สุข ทุกขเวทนา เนี่ยไม่ใช่บุคคลทำเอง ไม่ใช่บุคคลอื่นทำ แต่เกิดจากผัสสะ เห็นไหมตอบเหมือนพระพุทธเจ้าไหมโยม ตอบเหมือนกัน เปี๊ยบ แล้วจะไปขัดแย้งได้ยังไง แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ข้อต่างอยุ่ที่ตรงไหน ต่างว่าท่านเห็นก่อน แล้วท่านชี้ให้ดู ที่เรียกว่า เห็นตามนิรันดร์ ท่านเป็นมัคคัญญู เป็นผู้รู้มรรค เป็นมัคควิทู ส่วนพวกเนี้ยะ ตามมาเห็นเป็นมัคคานุคา (วิโย) แต่เห็นเหมือนกันไหม
แม้แต่พระอรหันต์ก็เท่ากันน่ะโยม ต่างกันที่ว่าพระพุทธเจ้าเห็นก่อน พระอรหันต์เห็นทีหลัง เพราะว่ามันเป็นกฎตายตัวธรรมชาติ มันไม่มีกฎอื่นโยม มีแต่กฎตายตัวนี้เท่านั้น โยมว่ามันมีกฎอื่นไหม ไม่มี อย่างสุข ทุกขเวทนา หกทาง เนี่ย จากรูป จากเสียง กลิ่น รส สัมผัสกามรมณ์ ก็มาจากผัสสะ 6 ทางใช่ไหม ถ้าไม่ผัสสะคือ รูปเนี่ย จะมีความสุขจากรูปไปได้ยังไงล่ะ เน้อะ อย่างพระพุทธเจ้าก็ถาม ท่านก็ถามพระสารีบุตรก็แล้วกันน่ะว่า รูปที่ท่านยังไม่เห็น ท่านจะเกิดราคะจากกามได้ไหมโยม อย่างโยมยังไม่เห็นสาวเยอรมันข้างวัดหลวงพ่อฯก็แล้วกันน่ะ จะเกิดราคะได้ไหม พอเห็นแล้วจะเกิดไหม แน่ใจเหรอ ขาวมากน่ะ ผมก็ขาว ตัวก็ขาว อายุเจ็ดสิบกว่าเอง
เสียง เสียงที่เธอยังไม่ได้ยิน จะนินทาว่าร้าย จะโกรธได้ไหม ไม่อยากจะฟังแล้วทีนี้ อยากจะฟังทำไมโยม อยู่ดีๆ จะไม่โกรธได้เหรอ ทีนี้ เรื่องฟังเสียง มีคนเล่าเรื่องเสธฯ เสธฯน่าจะรู้จักคนเป็นร้อย โยมก็ไปถาม คนรู้จักเสธฯหนึ่งร้อยคน โยมคิดว่า คนไหนเล่าถูกที่สุด ภรรยาเล่าถูกไหม ไม่ถูกหรอกหลวงพ่อฯว่า ยังไงก็ไม่ถูก เพราะเสธฯ ท่านมีความลับของท่าน ท่านอาจจะเก็บตังค์ให้เมีย แบบเซอร์ไพรส์อะไรอย่างนี้ เปิดมาจดหมายรักเต็ม จดหมายรักเมฬี (หัวเราะ) พี่เขี้ยว เล่าถูกไหม ขนาดพี่เขี้ยว เสธฯคบมากี่ปี ยังไม่รู้ว่า ชื่อ "เขี้ยว" (หัวเราะ) คนไหนเล่าเรื่องเสธฯถูกสุด ไม่มีโยม คนที่เล่าทุกคนเนี่ย เล่าตามที่ตัวเองต้องการ เช่น ภรรยาจะเล่าว่า อยากให้ท่านเสธฯเป็นอย่างนั้น อยากให้ท่านเสธฯเป็นอย่างนี้ ไปถามเจ้านาย เจ้านายก็บอกว่า อยากให้ พันเอกสมศักดิ์ เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ไปถามลูกน้อง ลูกน้องบอกว่า อยากให้ท่านสมศักดิ์เป็นอย่างนี้ อ่ะ ท่านเสธฯ ร้อยคนมีความต้องการให้เราเป็นร้อยแปด ยังไม่รวมพวกอะไร... (หัวเราะ) เป็นการใส่ไข่ไปบ้าง ไปเอาตังค์ใส่ครูตุ้ยได้ไหม ไปเอาตังค์ใส่เขี้ยวได้ไหม ไปเอาใส่หลวงพ่อฯได้ไหม เอาตังค์ใส่หลวงพ่อฯนี่ บินกลับเยอรมันด้วยกัน (หัวเราะ)
โยมนึกออกหรือยัง สิ่งที่เรียกว่าโยมเนี่ย ว่านี่ก็คือข้อสรุปของแต่ละคน มันใช่สภาพไม่ถาวรเลย แล้วโยมจะไปคาดหวังให้คนอื่นเขาเป็นดั่งใจเรามันจะยากมาก เพราะส่วนนี้ก็คือ สังขาร เครื่องปรุงแต่งที่ไม่มีตัวตนเสธฯ โยมคิดถึงเสธฯก็แล้วกันน่ะ โยมคิดถึงกันคือสังขารที่คิดถึงกันเกิดจากตัณหา จริงไหมเสธฯ อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ เขาไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เขาไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่เชื่อโยมลองคิดถึงนายรัฐมนตรีก็ได้ คือ ทุกคนก็รู้สึกว่า อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นนักข่าวก็อยากให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ อะไรล่ะ ไม่ว่าจะใครก็แล้วแต่ เป็นได้ทุกอย่างล่ะโยม สาวๆเนี่ยอยากให้โยมเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นได้ไหม จะไปทุกบ้านไหวไหม มีรถเทสล่ารุ่นใหม่น่ะ เสธฯ มีรถเทสล่ารุ่นใหม่ ซื้อมาเลยน่ะเสธฯ ไม่ต้องเติมน้ำมัน ใช้ไฟฟ้า รู้ใช่ไหม รถไฟฟ้า
อ้าว! ฟังก่อนน่ะ รสเทสล่ารุ่นใหม่ดีมาก ที่หลวงพ่อฯซื้อมา กดปุ่ม น่ะเสธฯ น่ะ กดปุ่มขับกลับบ้านเอง เสธฯไม่ต้องจับ ไม่ต้องมอง หลับไปเลย กดปุ่มขับกลับบ้าน มันจะไปโผล่บ้านใคร ไปบ้านนี้ หรือ บ้านใคร อันนี้ไม่รู้ว่า จริงหรือไม่จริง (หัวเราะ) ถ้าซื้อมานี่อันตรายน่ะ เมียนั่งไปด้วยก็ไม่รู้ เพราะกดปุ่มขับกลับบ้าน เร่งหน่อยไปอีกบ้านหนึ่ง ความลับแตก คือ คนที่เล่าเรื่องเรา คนที่ต้องการให้เราเป็น ไม่จริงสักกะเรื่อง จนถึงเราต้องการให้เขาเป็น มันก็ไม่จริงโยม สังขารที่ปรุงมาว่ามีเขาในรูป มีความจำ ความคิด ทั้งหมดนี่โยมเป็นเรื่องปรุงแต่งหมดเลย ซึ่งเกิดจากตัณหา เช่น เราปรุงไหม เช่น เขาปรุงไหม อ่ะ
โยมนึกถึงเทพีสองคนของอเมริกา คนที่แล้วกับคนปัจจุบัน คนที่แล้วก็อยากให้เป็นอย่างนั้น คนนี้ก็ยากให้เป็นอย่างนี้ ทั้งสองคนเหมือนกันตรงไหนโยม ไปเลือกโปรแกรม เกิดจากตัณหาเหมือนกันไหม อยากได้อย่างนั้น อย่างนี้ อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ ใช่ไหมโยม เหมือนกันทั้งโลกไหมโยมว่า เหมือนกันทั้งโลกเลย สังขารเกิดจากตัณหา ซึ่งเกิดแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับทุกขเวทนาที่อวิชชาสัมผัส อันนี้กุญแจพระสูตรหาชั้น ถ้าโยมไม่ได้มาศึกษาปฏิจจฯโยมจะมองไม่ออกเลย ฟังรู้แต่ไม่รู้พูดเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การสำคัญว่ามีตัวตนอยู่ในความจำความคิด คือ ทั้งขันธ์ห้าก็แล้วกันน่ะ ก็คือ ในปัจจุบัน อาศัยว่ามีชื่อใครในความคิด คุณคิดเอาเองแล้วกันน่ะ อันนี้คือ ตัณหา คือ อยากให้เขาเป็นอย่างนั้น อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อยากได้อย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ ถ้าโยมถอดรหัสไม่ได้ โยมเสร็จเลยน่ะ เพราะไอ้ที่ปรุงแต่งมันก็ไม่เที่ยง ที่ตัณหามันก็ไม่เที่ยง มาจากอะไรโยม มาจากเวทนานี่ไงโยม มีสุขก็อยากได้ มีทุกข์ก็อยากพ้น แล้วก็ปรุงขึ้นมา สารพัดวิธีปรุง ปรุงดี ปรุงร้าย
เห็นไหมโยมว่าซับซ้อนมากเลย คนเรานี่สุขทุกข์มาจากอะไร มาจากผัสสะ ผัสสะเที่ยงไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เที่ยงไหม รูป เสียง กลิ่น รส เที่ยงไหม นี่เรียกว่า อวิชชา สัมผัส เมื่อมีวิชาเข้ามาแทนที่ จะมีสัมมาทิฐิเข้ามาว่า เอ่อ รูปมันก็ไม่เที่ยง เสียงมันก็ไม่เที่ยง อย่างนี้น่ะ กลิ่น รสชาติ อาหารเช้าเที่ยงไหม สัมผัสกายเที่ยงไหม ความคิดทางใจเที่ยงไหม คิดไปกี่เรื่องแล้วเนี่ย เรื่องไหนเที่ยงบ้าง ไม่เที่ยงสักกะเรื่องโยม นี่เรียกว่า อวิชชาไม่ได้อาหาร แล้วค่อยสลดหดตัวไปเรื่อยๆ เมื่อมันไม่ได้อาหารเนี่ย มันก็มาไม่ได้ ยกตัวอย่าง สมองมีสามส่วน สมองส่วนล่างสุด เป็นสมองส่วนกิ้งก่า เป็นสมองส่วนสัญชาติญาณความเห็นแก่ตัว มีความโลภ โกรธ หลง สมองส่วนนี้มันจะกินอาหารจากการดูการจ้องดูที่ดูแล ไอ้สัญชาติญาณดิบมันจะโผล่มาเยอะมากเลยโยม ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ต้องใช้ปัญญาแก้ปัญหา ใช้สัญชาติญาณแก้ก่อนด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะเป็นสัญชาติญาณแบบกิ้งก่า ส่วนที่สอง เป็นสมองส่วนสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ต้องมีบุคคลต้นแบบ อย่างโยมเป็นแม่คน อยากให้ลูกมีปัญญา ไม่อยากให้ลูกไปงมงาย อยากให้เขามีความสุข ไม่อยากให้เขาโกรธ โยมต้องเป็นตัวอย่างให้เขาดู แต่ที่โยมทำไม่ได้เพราะไม่เชื่อ ขนาดแม่เกิดมาแม่ยังทำไม่ได้เลย แล้วแม่จะให้ผมทำได้ยังไง แม่เข้าวัด ออกมาแม่ยังโกรธอยู่เลย แล้วแม่จะไม่ให้ผมโกรธ ใช่ไหม แม่ก็บอกว่า ฉันไม่ได้โกรธสักกะหน่อย (หัวเราะ)
เขี้ยวใช่ไหม พระเขี้ยวแก้ว พระต๋อย มีพระเพลิงไหม .... ต้องเซ็นเซอร์ไว้ก่อน คุยกันพอมีรอยยิ้มน่ะ ในชีวิตประจำวัน
โยมอยากให้ลูกเป็นยังไง โยมต้องเป็นตัวอย่าง ยกตัวอย่างลูกศิษย์หลวงพ่อฯ มีคนงานห้าพันคน เข้าโรงงานปั๊บ ยกมือไหว้คนงานทันที โยมเขาคิดในใจว่า ถ้าไม่มีคนงานมาทำที่บริษัทเขา บริษัทเขาก็จะไม่เจริญรุ่งเรืองที่จะมีบ้านใหญ่ๆอยู่ ทีนี้เขาก็ไม่ได้สอนลูกน่ะโยม แต่ลูกเห็นแม่ทำ ก่อนจะนอนลูกก็กราบเท้าแม่ เขาไม่เคยสั่ง แต่ลูกรู้สึกว่า แม่เป็นตัวอย่างที่ดี ก่อนไปโรงเรียนลูกก็กราบเท่าแม่ เขาบอกว่า เขาไม่เคยสั่งโยม เห็นไหมว่า ลูกได้ตัวอย่างจากแม่ นี่คือสมองส่วนกลาง เขาต้องมีคนต้นแบบ และ บุคคลต้นแบบที่สำคัญอยู่ที่ในโยม ในครอบครัวไง โยมจะหวังให้ลูก มีลูกใช่ไหม ถามตรงๆ ตอบตรงๆ เพราะอันนี้อยู่บ้านลานเสียงธรรมแล้ว อันนี้ไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อฯน่ะ (หัวเราะ) เราไลฟ์สดอยู่ อยากให้ลูกเป็นเหมือน ส.ส.คนไหน หรือ อยากให้เหมือนรัฐมนตรีคนไหนบ้าง ไม่มีเหรอ อันนี้บ้านลานเสียงธรรมน่ะ ไม่เกี่ยวกับหลวงพ่อฯ
เสธฯเห็นภาพไหมเสธฯ หลวงพ่อฯถามมาหลายคนน่ะ เด็กตอบแบบนี้เหมือนกันหมดเลย ไม่มีใครสักคนเลย ที่เขาอยากเป็นอย่างนั้น ใช่ไหมโยม เราขาดบุคคลต้นแบบ นี่โยมจะไปโทษพวกเขาไม่ได้ โยมต้องทำยังไงทีนี้ โยมต้องเริ่มที่บ้าน โยมต้องเป็นบุคคลต้นแบบให้กับลูก ให้กับหลาน ให้กับบุคคลในครอบครัว ไม่ใช่ไปคาดหวังว่า อยากให้รัฐมนตรีเป็นอย่างนี้ อยากให้นายกรัฐมนตรีเป็นอย่างนี้ อยากให้ ส.ส.เป็นอย่างนี้ ใช่ไหมเสธฯ อันนี้เขาพูดน่ะ หลวงพ่อฯไม่ได้พูดน่ะ แล้วก็พูดที่บ้านเสธฯน่ะ ไม่ใช่วัดหลวงพ่อฯน่ะ วัดหลวงพ่อฯยังอยู่เหมือนเดิม (หัวเราะ)
มีใครที่หาไอดอลเจอไหม ไม่มี ยากมากน่ะ ปัจจุบันนี้ เอาในโลก ไม่ต้องเอาในประเทศไทย เอาที่อเมริกา อยากให้โยมเป็นอย่างประธานาธิบดีคนไหนบ้าง คนที่แล้ว อยากให้ลูกเป็นอย่างนั้นไหม เดินไหน วุ่นวาย ให้ตบมือ พอไม่มีใครตบมือ เฉา อยู่ไม่ได้ ทุกข์ มีเงินมหาศาล แต่ไม่มีใครตบมือ ไม่มีความสุข อยากให้ลูกเป็นอย่างนั้นไหม แล้วเป็นอย่างนั้นไหมเนี่ย แล้วเสธฯเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คุยกันเรื่องว่า ในโลกนี้เราขาดคนอยู่สองคน คนแรกก็คือ ไอดอล ก็คือ ตัวอย่างที่ดี เราเริ่มต้นยังไงโยม เราเริ่มต้นจากครอบครัว คนที่สอง คือ แรงบันดาลใจ ที่จะเป็นตัวอย่างคือ แรงบันดาลใจ
เมื่อกี้เสธฯเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อฯเปิดภาพในหลวง ร.9 เสธฯดูแล้วก็น้ำตาร่วง เรามีท่านเป็นไอดอล เป็นบุคคลตัวอย่าง เรามีท่านเป็นแรงบันดาลใจ แต่ทุกวันนี้ เราก็ต้องพยายามช่วยกัน ไม่ใช่ให้ในหลวง ร.9 มาช่วยอย่างเดียว คือ คนในครอบครัว โยมกลับจากคอร์ส วันนี้วันสุดท้ายหลวงพ่อฯ ฝากงานอะไรมาทำ มีอยู่คอร์สหนึ่ง มีเด็กมาจากบุรีรัมย์ อายุ 13 ขวบมาเป็นเพื่อนพ่อ เป็นรุ่นน้องคนหนึ่งในที่ทำงานของพี่ตุ๊กกี๊นั่นแหละ แล้วก็อยากจะมาเข้าคอร์ส ขับรถมาแปดชั่วโมง จากบุรีรัมย์ ชวนลูกสาวมาเป็นเพื่อน คุณพ่อก็ถามลูกสาวเหมือนกัน มากัน 2 คน คิดว่ามาวัดเซ็งไหม เซ็งแน่นอน คิดว่าน่าเบื่อไหม น่าเบื่อแน่นอนโยม
เขาก็เล่าว่า ถูกพ่อตีทุกเช้า ก็ถามว่า ถูกตีเรื่องอะไร ก็บอกว่าตื่นสาย แล้ววิธีที่ไม่ให้พ่อตีทำไง ก็ต้องไปที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ห้ามพ่อไม่ให้ตี ก็ตื่นเช้าซะสิ พ่อบอกว่า โรงเรียนเข้าแปดโมง มันตื่น 7 โมง 45 ก็ต้องไปตีให้มันตื่นสิโยม นี่ลูกก็ว่า พ่อตี พ่อทำร้าย ทีนี้ถ้าแก้เหตุ ตื่นเช้า พอจะตีไหม เอ่อ ก็มอร์นิ่ง ตื่นตี 5 เลยน่ะ เขาก็ตื่นตี 5 ครึ่ง พ่อเขาโทรไปบอกแม่ว่า นี่ลูกมันตื่นตี 5 ครึ่ง ไม่เชื่อหรอก มันตื่น 7 โมง 45 ทุกวัน เขาเปลี่ยนสาเหตุไงโยม พ่อก็ไม่ตี เขาบอกว่า เขาไปโรงเรียน ถูกเพื่อนด่า มันให้ตัวไอ้นั่นเขาด้วย ก็ถามว่า เคยด่าคนไหม ตอนด่า เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ แล้วตอนที่เพื่อด่าล่ะ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็ต้องเป็นทุกข์
เห็นไหมโยม ถ้าเขาเป็นทุกข์อยู่ เราควรโกรธเขาไหม ก็เลยให้ช๊อกโกแลตเยอรมันไป บอกว่า เอาไปให้เพื่อน แล้วไปกอดเพื่อนหนึ่งครั้งให้หลวงพ่อฯด้วย แล้วก็บอกว่า เขากำลังทุกข์อยู่ เรารักเขา ไม่ใช่เราไปด่าตอบเขา เขายิ่งโกรธใหญ่ เขาจะทำ อย่างที่หลวงพ่อฯสั่งมา เห็นไหม คือ เราสร้างเด็กหนึ่งคนได้ เราบอกปีใหม่กลับมาน่ะ ในห้องมีกี่คน มีสี่สิบคน หลวงพ่อฯให้ช๊อกโกแลต 40 อัน ไปแจกเพื่อน ถ้าเราสร้างเด็กหนึ่งคนเป็นตัวอย่างได้ เราก็สร้างทั้งโรงเรียนได้ไหม ทั้งจังหวัดเรามีโอกาสไหมโยม ไม่ใช่เราไม่มีโอกาสน่ะโยม เราต้องทำทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเราให้เขาเป็นไอดอล ให้เขาเป็นแรงบันดาลใจ อย่างที่เด็กคนนี้มาหาหลวงพ่อฯ...
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี