“เบี้ยยังชีพอาจยังไม่ได้ใช้หลักการของประชาธิปไตยและการคุ้มครองสิทธิ์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ เราก็เลยเห็นว่าความสำคัญของมันคือต้องเปลี่ยนวิธีคิดก่อนว่าถ้าเราคิดว่ามันเป็นเบี้ยยังชีพเราก็จะให้เป็นตัวเลขที่ไม่สมเหตุสมผล ที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้จริง ทีนี้ถ้าตัวเลขจะสมเหตุสมผลก็ต้องคิดใหม่ว่าสิทธิ์ของผู้สูงอายุควรจะมีชีวิตพื้นฐานให้มันอยู่รอดปลอดภัยมีคุณภาพ มันควรจะอยู่ได้”
คำกล่าวของ สุรีย์รัตน์ ตรีมรรคา ตัวแทนเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ในเวทีเสวนา “บำนาญแห่งชาติ เป็นจริงได้อย่างไรในร่างแก้ไข พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. ....” ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งภาคประชาชนเรียกร้อง“บำนาญพื้นฐาน” มากว่า 10 ปี ต่อเนื่องมาจากการขับเคลื่อนกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจนสำเร็จในปี2545 จากนั้นเมื่อเริ่มเห็นว่าประเทศไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยทำให้ในปี 2550 เริ่มมีการพูดคุยเกี่ยวกับสวัสดิการของผู้สูงอายุจนเกิดระบบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขึ้นและได้รับการสานต่อแม้จะเปลี่ยนรัฐบาลไปหลายชุดและต่างพรรคการเมืองก็ตาม
แต่การขับเคลื่อนบำนาญพื้นฐาน หรือ “การจ่ายเงินให้คนไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เดือนละ 3,000 บาทอย่างถ้วนหน้า” นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยหลังจากภาคประชาชนรวบรวมรายชื่อได้กว่า 13,000 คน ซึ่งเข้าเกณฑ์การเสนอกฎหมายที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาชนเข้าชื่อไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคนแล้ว ยังต้องคอยติดตามทวงถาม อาทิ ในวันที่ 13 ก.ค. 2563 ภาคประชาชนมีการจัดกิจกรรม “ปาร์ตี้ปิ่นโต” นัดกินข้าวที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
กลับมาที่งานเสวนา สุรีย์รัตน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับคนที่มีศักยภาพ เช่น ออมเงินมาทั้งชีวิต หรือมีระบบบำนาญอื่นมาเสริมก็ไม่เป็นไร แต่พื้นฐานต้องขอให้ยกระดับ จึงเป็นที่มาของการขอปรับจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท ขยับขึ้นมาเป็นบำนาญพื้นฐานเดือนละ 3,000 บาท ที่อิงกับเส้นความยากจน อันหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ประชาชนสามารถมีจ่ายเพื่อที่จะสามารถอยู่รอดได้ในแต่ละเดือน
ขณะที่ นิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน ไม่ควรรับรองกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากร่างกฎหมายบำนาญพื้นฐานภาคประชาชนซ้ำซ้อนกับ พ.ร.บ.
ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ที่มีกลไกการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่หากต้องการผลักดันเรื่องนี้ รัฐบาลก็สามารถแก้ไข พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ได้
“สมมุติถ้าเรายึดที่เส้นความยากจน แล้วสภาพัฒน์ก็มีการประเมินว่ามีคนยากจนอยู่เท่าไร ถ้าผู้สูงอายุ 10 ล้านคนได้เงิน เปลี่ยนจากเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญพื้นฐานคนละ 3,000 บาทต่อเดือน พวกนี้ก้าวข้ามเส้นความยากจนทันทีเลย เราตอบโจทย์ SDG (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) ของ UN (สหประชาชาติ) ได้เลย เป็นผลงานรัฐบาลเลยว่าเราแก้ปัญหาความยากจน” นิมิตร์ กล่าว
ด้าน เนืองนิช ชิดนอก ประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค ในฐานะผู้ร่วมเสนอกฎหมายบำนาญแห่งชาติฉบับประชาชน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งที่ผ่านมารายได้ในการดูแลผู้สูงอายุมาจากบุตรหลานที่เป็นประชากรวัยทำงาน แต่ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ ตลอดจนคนวัยทำงานเองก็มีครอบครัว มีลูกของตนเองต้องดูแล เมื่อต้องมาดูแลพ่อแม่ที่สูงอายุด้วยจึงกลายเป็นความไม่เพียงพอ
“พอไม่เพียงพอก็ต้องเป็นภาครัฐที่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย อย่างที่บอกว่าขีดความยากจนมันมีให้อยู่แล้วว่าจะต้องช่วยเหลือประมาณเท่าไร มันก็ควรจะให้ และจากปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าปี 2551-2554 ที่ปรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจาก 200 เป็น 500 บาท แล้วเปลี่ยนเป็นขั้นบันได เช่น 60 ปีได้ 600 บาท จน 90 ปีได้ 1,000 บาท งานวิจัยของอาจารย์เดชรัต (เดชรัต สุขกำเนิด อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) จะเห็นตัวเลขว่าภายใน 3 ปี มันสามารถลดคนจนที่เป็นผู้สูงอายุลงได้ถึง 7 แสนคน” ปธ.เครือข่ายสลัม 4 ภาค กล่าว
มุมมองจากตัวแทนภาครัฐ กันตพงศ์ รังษีสว่าง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยอมรับว่า
ความท้าทายสำคัญอยู่ที่จะหาเงินมาจากแหล่งใด โดยหนึ่งในสิ่งที่ พม. กำลังศึกษา คือการให้เงินตามแนวคิดรายได้พื้นฐานหรือ UBI (Universal Basic Income) เดือนละ 3,000 บาท กับครัวเรือนเปราะบางว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะจากข้อมูลที่มีอยู่ พบว่าประเทศไทยมีครัวเรือนเปราะบางมากถึง 4.1 ล้านครัวเรือน จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยนำ 4.1 ล้านครัวเรือน คูณด้วย 3,000 บาท และคูณด้วย 12 เดือน จึงกลายเป็นความหนักใจของทางสำนักงบประมาณ ซึ่งก็อาจต้องหาบางพื้นที่เพื่อทำเป็นพื้นที่นำร่องก่อน
“เรามีผู้สูงอายุในปัจจุบันจำนวน 12 ล้านคนเศษๆ ร้อยละ 20 ของประชากร 66 ล้านคนเศษ เรามีผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 10,300,000 คนเศษๆ เป็นภาระที่รัฐบาลต้องใช้จ่ายงบประมาณจ่ายให้กับผู้สูงอายุต่อปีประมาณ 86,000 กว่าล้านบาท แล้วเพิ่มขึ้นทุกปี จากเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่มีผู้สูงอายุอยู่ประมาณ 6-7 ล้านคน งบประมาณตอนนั้นยังไม่กระทบกระเทือนมากนัก เมื่อผู้สูงอายุเพิ่มมาเป็น 10,300,000 คน ที่มารับเบี้ยยังชีพ เริ่มหนัก” รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ระบุ
ความเห็นของฝ่ายการเมือง สมศักดิ์ คุณเงิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดขอนแก่น พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาแนวทางการเสนอกฎหมายบำนาญแห่งชาติในคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งร่วมกับ สส. ที่แม้จะต่างพรรคการเมืองโดยมีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล แต่ก็เห็นตรงกันให้ผลักดันเรื่องนี้ด้วยการเสนอ “(ร่าง) พ.ร.บ.ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ พ.ศ. ..” ต่อประธานรัฐสภาแล้ว ขณะนี้เหลือแต่เพียงรอการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี ยืนยัน“เงินมีแน่นอน”
โดยสามารถหาได้จากหลายช่องทางหากกล้าทำ เช่น รายได้จากสลากกินแบ่งรัฐบาล หวยใต้ดิน บ่อนการพนันถูกกฎหมาย ภาษียาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ค่าสัมปทานต่างๆ การยกเลิกสิทธิประโยชน์ BOI ในบางส่วนที่ควรยกเลิก ภาษีรถ ภาษีน้ำมัน เป็นต้น และหวังว่า (ร่าง) พ.ร.บ.ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ พ.ศ. .. จะสามารถเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรได้เมื่อเปิดสมัยประชุมในเดือน พ.ค. 2564 และเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ อาจดำเนินการแบบขั้นบันได ปีแรกจ่าย 1,000-2,000 บาทต่อเดือนก็ได้ แต่ให้ครบ 3,000 บาทต่อเดือนภายในเวลา 3 ปี
“ทุกคนที่เกี่ยวข้องที่เชิญมา หน่วยงานภาครัฐเขาตอบไม่ได้ว่าจะให้-ไม่ให้ เขาพูดแบบมีเงื่อนไขว่าถ้าเป็นนโยบายของรัฐบาล” ปธ.อนุ กมธ. บำนาญแห่งชาติ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี