“ถามว่ากลัวไหม? ถ้ากลัวเราก็ไม่มีกิน ถามว่าโควิดมันจะเอาคนอายุ 60-70 ไป ถ้าจะไปก็ไปเลย ป้าไม่ได้คิดอะไรแล้ว ไม่มีห่วงแล้ว ถ้าตายลูกป้าก็ได้ฌาปนกิจ ป้าปลงกับชีวิตแล้ว ไม่อยากอะไรแล้ว ขายตรงนี้ วันนี้เรารอดตายแล้วพรุ่งนี้เราต่อสู้กันใหม่ ทุกวันนี้ป้าไม่คิดแล้ว ทุกวันนี้ก็หาเพื่อลูกเพื่อหลาน”
“ป้านา” หญิงวัย 64 ปี บอกเล่ากับผู้สื่อข่าวขณะกำลังตั้งแผงรถเข็นขายลูกชิ้นปิ้งและไส้กรอกในพื้นที่ “ถนนข้าวสาร” ซึ่งหากเป็นช่วงเวลาปกติก่อนสถานการณ์โรคระบาด การค้าขายบนถนนข้าวสารต้องบอกว่าคึกคักมาก เมื่อหักต้นทุนแล้ว หากเป็นวันธรรมดาทั่วไปจะมีรายได้เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท แต่หากเป็นช่วงพิเศษอย่าง “เทศกาลสงกรานต์” ที่ถนนข้าวสารจะจัดงานระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน ของทุกปี รายได้จะพุ่งไปถึงวันละ 2,000 บาท
ผู้สื่อข่าวพบหญิงชรารายนี้ในวันที่ 13 เม.ย. 2564 วันแรก ของเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ที่คนไทยไม่ได้เล่นสาดน้ำเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายทั้งในไทยและทั่วโลก ป้านา พื้นเพเป็นคน จ.ปราจีนบุรี แต่เข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2531 ชี้ให้ดูว่าตนเองต้องพยายามป้องกันด้วยการสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไปและต้องเผชิญความเสี่ยงก็ตาม
“พอมีข่าวล็อกดาวน์ก็จบเลย ทุนก็เททิ้งไปเลย ปีนี้ป้าก็เฉยๆ นะ ปีที่แล้วป้าจมไปไม่ถึงหมื่น ประมาณ 7,000-8,000 บาท แต่มันก็เยอะนะ ซื้อไข่ซื้ออะไรมาแล้ว แต่ปีนี้ป้าไม่ได้ตุนของเลย ป้าขายแบบสบายๆ ไม่หวังแล้วจริงๆ แล้วยิ่งโควิดอย่างนี้
ป้ายังไม่รู้จริงๆ วันนี้ป้าลงของพันกว่าบาทป้าก็ยังไม่รู้เลยว่าจะอย่างไร? จะมีคนมาเดินมาเที่ยวไหม? ป้าก็ขายของป้าไปเรื่อยๆ” แม่ค้าวัย 64 ปีรายนี้ กล่าว
เช่นเดียวกับ “พี่ดำ” ชายวัย 50 ปี พื้นเพเป็นคน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่มาขับรถสามล้อในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน ที่เล่าว่า ก่อนยุคไวรัสโควิด-19 ระบาด มีรายได้จากค่าโดยสาร หักค่าเช่ารถวันละ 400 บาทแล้วยังเหลือเงินกลับบ้านเฉลี่ยวันละ 1,000 บาทในวันธรรมดา และวันละ 2,000 บาทในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยหนึ่งในความภูมิใจคือการที่สามารถส่งลูก 2 คนเรียนจบมหาวิทยาลัยได้โดยไม่ต้องพึ่งพากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
แต่แล้ววิกฤติโรคระบาดก็พาฝันร้ายมาเยือน โดยช่วงล็อกดาวน์ ระหว่างเดือน มี.ค.-มิ.ย. 2563 พี่ดำตัดสินใจทิ้งเมืองหลวงไปอาศัยอยู่ที่บ้านภรรยาใน จ.ร้อยเอ็ด และเมื่อกลับมารายได้ก็ไม่ได้ดีอย่างเดิมอีก เฉลี่ยวันละ 400-500 บาท หักค่าใช้จ่ายประจำแล้วเหลือเงินเข้าบ้านเพียง 200 บาทต่อวันเท่านั้น แต่ยังดีอยู่บ้างตรงที่ค่าเช่ารถสามล้อถูกลงเหลือวันละ 100 บาท แม้กระทั่งรถแท็กซี่ก็ยังทราบว่าทุกวันนี้เหลือค่าเช่ารายวันเพียง 200 บาท
โชเฟอร์สามล้อรายนี้ ยอมรับว่า เมื่อสถานบันเทิงกลับมาเปิดได้ย่อมเป็นกังวลว่าสถานการณ์โรคระบาดจะกลับมาอีกจากทั้งการเป็นสถานที่ปิดในห้องปรับอากาศแต่มีคนรวมกลุ่มหนาแน่น บวกกับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้การระมัดระวังตัวลดลง แต่ถึงกระนั้นก็เห็นอกเห็นใจเพราะหากไม่อนุญาตให้เปิดเลยย่อมกระทบต่อคนที่ต้องประกอบอาชีพ
ทำมาหากิน
“วัคซีนเท่านั้นที่จะช่วยได้ เอายาสมุนไพร ยาอะไรมันต้านไม่ทันหรอก โรคมันร้ายแรง ตราบใดไม่มีวัคซีน..ยาก! ไม่หาย
อาจจะเป็นกลายพันธุ์ใหม่ไปอีก สายพันธุ์ใหม่บวกไปเยอะ ดูสถานการณ์แล้วเด็กเล็กติดหมด เด็กไม่เคยติดก็ติดแล้วตอนนี้ มันไม่ได้เลือกกินนะโรค คุณจะอายุเท่านี้ๆ จะต้องเลือกกิน มันกินหมด ผมมองไกลๆ นะ อันนี้ความคิดผม ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ถ้ายังไม่ได้วัคซีนพร้อมกันหมด..ยากครับ!” พี่ดำ กล่าว
ขณะที่ ญาดา พรเพชรรัมภา ประธานชมรมผู้ค้าแผงลอยถนนข้าวสาร ให้ความเห็นว่า “การที่รัฐบาลสร้างกระแสความกลัวโรคระบาดมากจนเกินไป ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้” แทนที่จะอธิบายสร้างความเข้าใจให้ชัดเจนว่าการติดเชื้อโควิด-19 แล้วมีอัตราการป่วย หรือป่วยหนัก หรือเสียชีวิตเท่าไร เพราะ “ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเชื้อโรค” อย่างในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ที่รัฐพยายามให้การประกอบอาชีพของประชาชนใกล้เคียงปกติมากที่สุด หากติดเชื้อแต่ไม่มีอาการก็ให้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
“คุณบอกเขาก็ได้ เป็นไข้ก็กินยาลดไข้ พาราก็มี ไอก็กินยาแก้ไอ ฟ้าทะลายโจรก็กินไป ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ไข้ลง ออกไปไหนก็ใส่แมส ล้างไม้ล้างมือเสีย ใช้ชีวิตให้มันเป็นปกติ แต่คุณปลูกจิตใต้สำนึก อย่าไปนู่นนี่นั่น แล้วใครหารับประทาน คุณก็ไม่ยื่นข้าวยื่นน้ำให้เขา เราชนะมาตรการเยียวยามันช่วยกระตุ้น มันช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยจริงๆ อันนี้ยอมรับ แต่แล้วท้ายที่สุดแล้วอย่างไรล่ะ ก็หมดแล้ว มันเหมือนกับฉีดยาไประยะหนึ่ง พอเชื้อมันเริ่มต่อต้านขึ้นมา คุณมีเข็มสองไหม เข็มสองก็ไม่มี มาตรการอื่นอย่างไร คุณจะแจกอย่างนี้อีกนานแค่ไหน แจกจนเหมือนกับประเทศอื่นที่เขาล่มสลายหรือ เมื่อไหร่คุณจะสอนให้ประชาชนถือคันเบ็ดตกปลาเอง” ญาดา กล่าว
จากถนนข้าวสารสู่การมองภาพรวมทั้งประเทศ “ในช่วงก่อนวิกฤติไวรัสโควิด-19 ระบาด เศรษฐกิจไทยเคยมี
รายได้จากการท่องเที่ยวหลักล้านล้านบาทต่อปี” และเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีผู้ได้รับประโยชน์อย่างกว้างขวางตั้งแต่ผู้ค้าอาหารริมทาง ผู้ขับขี่พาหนะรับ-ส่งผู้โดยสาร พนักงานนวด ไปจนถึงผู้ประกอบการโรงแรมและอื่นๆ อีกมากมาย “เราจะอยู่ในสถานการณ์นี้ไปได้อีกนานเท่าไร?” จึงเป็นคำถามสำคัญ
ไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค “Paisal Puchmongkol” เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2564 เสนอแนะ 7 ข้อแก้วิกฤติครั้งนี้ 1.เปิดเสรีนำเข้าวัคซีนโควิด-19 และชุดตรวจหาการติดเชื้อ 2.เลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและกลับสู่การบริหารประเทศตามกลไกปกติ 3.กระทรวงสาธารณสุข ประกาศรายชื่อยาให้ประชาชนใช้รักษาตนเองในเบื้องต้นเมื่อพบอาการผิดปกติ หากอาการหนักจึงค่อยไปโรงพยาบาล
4.เลิกปั่นกระแสสร้างความหวาดกลัวเพื่อให้สังคมกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมถึงยกเลิกการประกาศไทม์ไลน์ว่าผู้ติดเชื้อ
เพื่อป้องกันความแตกแยกในสังคมและป้องกันความเสียหายเกินจริง 5.นำยาค็อกเทลและพลาสมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยปอดอักเสบหรือปอดบวมได้โดยเร็วที่สุด 6.ทำความเข้าใจโดยการเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง เกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยโควิดที่แท้จริง โดยแยกจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคปอดอักเสบและวัณโรค ออกจากกันให้ชัดเจน และ 7.แนะนำให้ผู้มีอาการผิดปกติสวมหน้ากาก กักตัวอยู่ในพื้นที่กำหนดของตัวเอง นอกนั้นใช้ชีวิต และทำงานปกติ
เมื่อการปิดกิจการต่างๆ ไม่สามารถทำติดต่อกันได้นานๆ..การอยู่ร่วมกับไวรัสร้ายให้ได้ดังข้อเสนอข้างต้นก็อาจเป็นสิ่งที่น่าคิด!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี